แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 กับพวกตรวจสินค้าของโจทก์แล้วพบว่าโจทก์กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ จึงยึดสินค้าดังกล่าวแล้วนำไปฝากไว้ในตู้เก็บสินค้า โดยผนึกตะกั่วประทับตราของจำเลยที่ 1 ไว้ การเปิดตู้เก็บสินค้าจะกระทำมิได้เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 1 ก่อน จำเลยที่ 1 ยึดสินค้าดังกล่าวไว้เป็นของกลางเพื่อดำเนินการริบตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ มาตรา 60 สินค้าดังกล่าวจึงอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 ยอมให้โจทก์ส่งสินค้าดังกล่าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักรได้ แต่สินค้าสูญหายไปก่อน จำเลยที่ 1 จึงต้องคืนสินค้าดังกล่าวแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ก็ต้องใช้ราคาแทน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อเส้นด้ายฝ้ายใยสั้นจากผู้ขายซึ่งอยู่ที่เมืองฮ่องกง แต่สินค้าดังกล่าวไม่ได้มาตรฐาน โจทก์ได้ส่งสินค้าคืนแก่ผู้ขายทางเรือ จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกันตรวจสินค้าของโจทก์แล้วดำเนินคดีแก่โจทก์ฐานยื่นคำขออันเกี่ยวกับของอันเป็นเท็จเป็นการทุจริตเพื่อขอคืนอากรขาเข้า และยึดสินค้าของโจทก์ไว้ โจทก์ชำระค่าปรับแล้ว จากนั้นได้ติดต่อขอสินค้าคืนจากจำเลยทั้งสาม จำเลยทั้งสามแจ้งว่าสินค้าสูญหายและไม่ยอมชดใช้ราคาสินค้าแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันคืนสินค้าแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ร่วมกันชำระเงินจำนวน171,154.24 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยทั้งสามมิได้ยึดสินค้าของโจทก์ไว้เป็นของกลางสินค้ายังอยู่ในความครอบครองของโจทก์ ทั้งตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 117 กำหนดข้อยกเว้นความผิดของจำเลยที่ 1 ไว้ด้วย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนเส้นด้ายฝ้ายใยสั้นตามใบขนสินค้าขาออกแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 171,154.24 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อปลายปี 2533โจทก์นำสินค้าเส้นด้ายฝ้ายใยสั้นเข้ามาในราชอาณาจักร ต่อมาวันที่ 12 มิถุนายน 2534 โจทก์ส่งสินค้าดังกล่าวหนัก 929.81 กิโลกรัม ราคา 171,154.24 บาท คืนแก่ผู้ขายที่เมืองฮ่องกงทางเรือ จำเลยที่ 2 และที่ 3 กับพวกซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ร่วมกันตรวจสินค้าดังกล่าว แล้วดำเนินคดีแก่โจทก์ในความผิดฐานยื่นคำขออันเกี่ยวกับของอันเป็นเท็จเป็นการทุจริตเพื่อขอคืนอากรขาเข้าตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 60, 99 และนำสินค้าดังกล่าวเก็บไว้ในตู้เก็บสินค้าแล้วผนึกตะกั่วประทับตรา กศก. และหมายเลข 143 ลงบนตะกั่วที่ตู้เก็บสินค้า โจทก์อุทธรณ์ต่อจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 พิจารณาแล้วให้โจทก์ทำความตกลงระงับคดีในชั้นศุลกากรโดยเปรียบเทียบปรับ 50,000 บาท แล้วให้โจทก์ส่งสินค้ากลับออกไปนอกราชอาณาจักรได้ โจทก์ชำระค่าปรับแล้ว แต่เมื่อไปขอรับสินค้าคืน ปรากฏว่าสินค้าสูญหายไป ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 มีว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่เห็นว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 กับพวกตรวจสินค้าของโจทก์แล้วพบว่าโจทก์กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 60, 99 และดำเนินคดีแก่โจทก์ ซึ่งตามมาตรา 60 บัญญัติให้ริบสินค้าเสียสิ้น นายวิวุฒิ กลางประพันธ์ พยานจำเลยทั้งสามผู้ร่วมตรวจสินค้าเบิกความว่า พยานกับพวกตรวจยึดสินค้าดังกล่าวแล้วพยานนำไปฝากไว้ในตู้เก็บสินค้าของบริษัทผู้รับบรรจุสินค้าโดยผนึกตะกั่วประทับตราของจำเลยที่ 1 ไว้การเปิดตู้เก็บสินค้าจะกระทำมิได้เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 1 ก่อน และถือว่าสินค้าดังกล่าวอยู่ในความอารักขาของจำเลยที่ 1 ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ยึดสินค้าดังกล่าวไว้เป็นของกลางเพื่อดำเนินการริบตามมาตรา 60 สินค้าดังกล่าวอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 กรณีหาใช่เพียงแต่อยู่ในความรักษาหรือตรวจตราดูแลของจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 117 ไม่ เมื่อจำเลยที่ 1 เห็นว่าโจทก์กระทำความผิดตามมาตรา 99 เท่านั้น และยอมให้โจทก์ส่งสินค้าดังกล่าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักรได้จำเลยที่ 1 จึงต้องคืนสินค้าดังกล่าวแก่โจทก์ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน