คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1113/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บรรยายฟ้องว่า “จำเลยประพฤติชั่ว ติดยาเสพติดและประพฤติตัวเป็นนักเลงอันธพาล ไม่ยอมทำมาหากิน ไม่ยอมทำนาเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัวและหาความเดือนร้อนมาสู่ครอบครัวอยู่เสมอ และได้กลั่นแกล้งโจทก์และลูก ๆ โดยการไม่ยอมให้เข้าทำนาเมื่อถึงฤดูทำนา ฯลฯ” เช่นนี้ อย่างน้อยก็ตีความได้ว่าจำเลยประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงอันเป็นเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500(2) แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๖ ทำกินร่วมกันตลอดมา ครั้ง พ.ศ. ๒๕๑๕ จำเลยเริ่มประพฤติชั่ว ติดยาเสพติดและประพฤติตัวเป็นนักเลงอันธพาล ไม่ยอมทำมาหากิน ไม่ยอมทำนาและหาความเดือนร้อนมาสู่ครอบครัวอยู่เสมอ ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘ จำเลยกลั่นแกล้งไม่ให้โจทก์และบุตรเข้าทำนา จึงขอหย่าขาดกับจำเลย
จำเลยให้การว่า ไม่เคยประพฤติชั่วดังฟ้อง ไม่เคยกลั่นแกล้งโจทก์และบุตรไม่ให้ทำนา ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย และวินิจฉัยว่า เหตุหย่าที่ว่าจำเลยประพฤติชั่วติดยาเสพติดก็ดี ประพฤติตัวเป็นอันธพาลก็ดีไม่ยอมทำมาหากินก็ดี กลับกลั่นแกล้งมิให้โจทก์และบุตรเข้าทำนาก็ดี ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๐๐ โดยเฉพาะข้อติดยาเสพติดก็ไม่กล่าวว่าติดยาเสพติดอะไร ไม่เข้ากรณีประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตามมาตรา ๑๕๐๐(๒) พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เหตุหย่าตามฟ้อง ถือว่าโจทก์อ้างเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๐๐(๒) (๓) แล้วพิพากษากลับ ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าเกี่ยวกับเหตุหย่าว่า “จำเลยประพฤติชั่ว ติดยาเสพติดและประพฤติตัวเป็นนักเลงอันธพาล ไม่ยอมทำมาหากิน ไม่ยอมทำนาเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัวและหาความเดือนร้อนมาสู่ครอบครัวอยู่เสมอ และได้กลั่นแกล้งโจทก์และลูก ๆ โดยการไม่ยอมให้เข้าทำนาเมื่อถึงฤดูทำนา ฯลฯ” เช่นนี้ อย่างน้อยก็ตีความได้ว่าจำเลยประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงอันเป็นเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๐๐(๒) พิพากษายืน

Share