แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลวินิจฉัยในคดีก่อนว่าที่ดินที่พิพาทเป็นมรดกของ ม.เป็นคำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงความเป็นเจ้าของที่ดินที่พิพาทของทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของ ม. คำพิพากษานั้นย่อมผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดีก่อน การที่โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นบุตรของ ม. และมีสิทธิรับมรดกของ ม. เป็นคดีหลังขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทโดยมิได้แสดงสิทธิอื่นขึ้นใหม่เช่นนี้ คดีหลังเป็นฟ้องผิดซ้ำกับคดีเดิม ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสอง ห้ามรบกวนการครอบครองและแย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยที่ 1 กับบริวารรื้อเรือนออกไปจากที่ดินของโจทก์ ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 กับบริวารยังไม่รื้อเรือนออกไปให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในอัตราเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยที่ 1 กับบริวารจะรื้อเรือนออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่าเป็นฟ้องซ้ำ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์และจำเลยทั้งสองแถลงรับกันว่าที่ดินพิพาท คือที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1)เลขที่ 180 ตั้งอยู่ตำบลท่าพระ (ดอนหัน) อำเภอเมืองขอนแก่นจังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินพิพาทในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 294/2520 ของศาลชั้นต้น ระหว่างนางหนูเล็ก คำสอนทาโจทก์ นายสูน บุดดีตุ้ย ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายมิ้ม บุดดีตุ้ยจำเลย คดีถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาของศาลฎีกา เอกสารหมาย ล.1และโจทก์ยอมรับว่า จำเลยที่ 2 เป็นบุตรนายมิ้ม ส่วนจำเลยที่ 1เป็นน้องสาวนายมิ้มจริง ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้จึงสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1)เลขที่ 180 ตั้งอยู่ที่ตำบลท่าพระ (ดอนหัน) อำเภอเมืองขอนแก่นจังหวัดขอนแก่น ที่ดินพิพาทแปลงนี้ โจทก์เคยฟ้องนายสูน บุดดีตุ้ยในฐานะผู้จัดการมรดกของนายมิ้ม บุดดีตุ้ย เป็นจำเลยขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ผลของคดีถึงที่สุดไปแล้วปรากฏตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2294/2522 ที่วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นมรดกของนายมิ้ม ตกทอดได้แก่ทายาทโดยธรรมของเจ้ามรดกส่วนจำเลยที่ 2 เป็นบุตรของนายมิ้ม
มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้หรือไม่ โจทก์ฎีกาสรุปได้เป็นความว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 180 แต่เป็นที่ดินตาม ส.ค. 1 เลขที่ 593ตั้งอยู่ที่ตำบลท่าพระ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่นซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 593 พร้อมบ้านเลขที่ 58 กับยุ้งข้าว 1 หลัง และที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 181 ไม่ใช่เป็นทรัพย์มรดกของนายมิ้ม ดังรายละเอียดในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2811/2526 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า แม้ในคำบรรยายฟ้องของโจทก์จะกล่าวอ้างเพียงว่า จำเลยทั้งสองไปคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดขอนแก่น โดยไม่ระบุว่าเป็นที่ดินที่มีหลักฐานแสดงถึงสิทธิการครอบครองแปลงใดก็ตามแต่จำเลยทั้งสองก็ให้การว่า ที่ดินพิพาทแปลงที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยเป็นที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 180 ตำบลท่าพระ (ดอนหัน) อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น คำให้การของจำเลยทั้งสองดังกล่าวโจทก์ไม่ปฏิเสธว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินแปลงอื่น แต่กลับแถลงรับในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ฉบับลงวันที่ 13 กรกฎาคม 2530ว่าที่ดินพิพาทตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน เลขที่ 180 เป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินพิพาทในคดีหมายเลขแดงที่ 294/2520 ซึ่งคดีถึงที่สุด ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2294/2522 ดังนั้น ที่โจทก์ฎีกาในลักษณะว่าที่ดินพิพาทในคดีเป็นที่ดินที่ตั้งบ้านเลขที่ 58 และยุ้งข้าว 1 หลัง ทำนองว่าเป็นที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 593 ไม่ใช่ที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 180 จึงขัดกับข้อเท็จจริงที่โจทก์แถลงรับในคดี และโจทก์จะฎีกาว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินแปลงอื่นนอกจากที่ดินแปลงที่พิพาทกันไม่ได้ เมื่อปรากฏว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินพิพาทในคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2294/2522ซึ่งวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนายมิ้ม จึงเป็นคำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงความเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทของทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายมิ้มที่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดีเดิมเมื่อโจทก์ไม่ได้แสดงสิทธิอื่นขึ้นใหม่ โจทก์จะนำคดีมาฟ้องจำเลยที่ 2 บุตรของนายมิ้มซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมลำดับที่ 1ชั้นผู้สืบสันดานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 ผู้มีสิทธิรับมรดกของนายมิ้มขอให้ขับไล่จำเลยที่ 2 ออกจากที่ดินพิพาทไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148…”
พิพากษายืน.