แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอแบ่งทรัพย์พิพาทครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ดินกับห้องแถวส่วนควบในที่ดินอันเป็นลักษณะกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์จำเลย ได้มาระหว่างอยู่กินร่วมกัน แต่ฟ้องโจทก์เองกลับบรรยายมาว่า โจทก์เป็นคนต่างด้าว ไม่สามารถมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและห้องแถวได้ การที่โจทก์เอาชื่อผู้อื่นใส่ในโฉนดแทนโจทก์ จึงหาก่อให้โจทก์มีสิทธิในทรัพย์พิพาทแต่ประการใดไม่ โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของผู้มีกรรมสิทธิ์รวมกับจำเลยในทรัพย์พิพาท ไม่มีสิทธิขอแบ่งทรัพย์พิพาทได้ ปัญหาเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ของโจทก์ในทรัพย์พิพาทดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลยกวินิจฉัยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันมา ๑๑ ปี ไม่จดทะเบียน โจทก์เป็นคนต่างด้าว ไม่สามารถมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและห้องแถวได้ โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดที่ ๕๗๗๕ และห้องแถว ๑๐ ห้อง ราคา ๑๒๐,๐๐๐ บาท โดยให้นายตี๋ แซ่เจีย ลูกพี่ลูกน้องของโจทก์เป็นผู้รับโอนไว้ และสร้างห้องแถวลงอีก ๑ ห้อง นายตี๋ไปประกอบอาชีพต่างจังหวัดโจทก์จึงให้นายตี๋โอนโฉนดพร้อมด้วยห้องแถวให้แก่จำเลย บัดนี้ โจทก์จำเลยอยู่ร่วมกันไม่ได้ ขอให้ศาลบังคับแบ่งที่ดินโฉนดที่ ๕๗๗๕ ราคา ๒๐๐,๐๐๐ บาท ห้องแถว ๑๑ ห้อง ราคา ๖๖,๐๐๐ บาท ให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง โดยแบ่งให้ ๑๓๓,๐๐๐ บาท
จำเลยให้การว่า ทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องเป็นของจำเลยผู้เดียว ซื้อมาด้วยเงินส่วนตัวของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้โจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในทรัพย์รายพิพาทครึ่งหนึ่ง ให้โจทก์จำเลยประมูลราคากันถ้าไม่ตกลงก็ให้ขายทอดตลาดแบ่งเงินที่ขายได้คนละครึ่ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ไม่มีสิทธิในทรัพย์พิพาท พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องขอแบ่งทรัพย์พิพาทครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ดินกับห้องแถวส่วนควบในที่ดินอันเป็นลักษณะกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์จำเลย ได้มาระหว่างอยู่กินร่วมกัน แต่ฟ้องโจทก์เองกลับบรรยายมาว่าโจทก์เป็นคนต่างด้าว ไม่สามารถมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและห้องแถวได้ การที่โจทก์เอาชื่อผู้อื่นใส่ในโฉนดแทนโจทก์ จึงหาก่อให้โจทก์มีสิทธิในทรัพย์พิพาทแต่ประการใดไม่ โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยในทรัพย์พิพาท ไม่มีสิทธิขอแบ่งทรัพย์พิพาท ปัญหาเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ของโจทก์ในทรัพย์พิพาทดังกล่าว เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลยกขึ้นวินิจฉัยได้ พิพากษายืน