คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1341/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยสมคบกันใช้บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริมให้พยานเบิกความเท็จนั้น ไม่เป็นฟ้องที่ขัดกัน ไม่ทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ และไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ในเมื่อเป็นการบรรยายรายละเอียดการกระทำทั้งหลายที่จำเลยได้กระทำรวมกันไป
พยานเบิกความว่า จำหน้าคนร้ายไม่ได้ และศาลได้พิพากษายกฟ้องเพราะเหตุนี้ข้อความที่พยานเบิกความนั้น จึงเป็นข้อสำคัญในคดี
ในการจ้างวานและยุยงให้พยานเบิกความเท็จต่อศาลนั้นโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยพูดกับพยานว่าเรื่องนี้ไม่ต้องกลัว เพราะได้ให้เจ้าพนักงานอัยการ 5,000 บาทแล้วเมื่อโจทก์นำสืบกลับสืบว่า ได้ให้8,000 บาท เช่นนี้ เป็นเรื่องพยานโจทก์เบิกความไม่ตรงในรายละเอียดเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่ข้อสำคัญอันจะเป็นเหตุให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องมีใจความว่า จำเลยสมคบกันใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริมให้นายนวลกับนายทองดีซึ่งเป็นพยานโจทก์ในคดีอาญาของศาลมณฑลทหารบกที่ 3 (ศาลจังหวัดอุดรธานี) เบิกความเท็จในข้อสำคัญ โดยจะให้เงินนายนวลนายทองดีคนละ 1,500 บาท และจำเลยบอกว่าเรื่องนี้ไม่ต้องกลัวเพราะได้ให้พนักงานอัยการ 5,000 บาท และผู้บังคับกองสถานีตำรวจฯ 3,000 บาทแล้ว ต่อมานายนวลได้เบิกความต่อศาลเป็นเหตุให้ศาลพิพากษายกฟ้องจำเลยในคดีนั้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177, 181, 184, 83 และ 84

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177, 181(1), 83, 84 จำคุกคนละ 6 เดือน ข้อหาตามมาตรา 184ให้ยก

จำเลยทั้ง 4 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 4 ฎีกาว่า ฟ้องเคลือบคลุมข้อความที่นายนวลเบิกความต่อศาลไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี และทางพิจารณาต่างกับฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ข้อหาของโจทก์ที่ว่าจำเลยใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริม แต่ละข้อแตกต่างขัดกันในตัว จำเลยไม่สามารถทราบข้อหาและต่อสู้คดีได้นั้น ศาลพิเคราะห์เห็นว่า ที่โจทก์บรรยายการกระทำของจำเลยหลายประการรวมกันนั้นเป็นการบรรยายรายละเอียดการกระทำทั้งหลายที่จำเลยได้กระทำซึ่งมีทั้งการยุยงส่งเสริม ใช้ จ้างวาน และบังคับขู่เข็ญรวมกันไป หาขัดกันไม่ ไม่ทำให้จำเลยหลงต่อสู้ ฟ้องไม่เคลือบคลุม

ฎีกาจำเลยที่ว่า ข้อความที่นายนวลเบิกความไม่ใช่ข้อสำคัญในคดีนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อศาลพิพากษายกฟ้องในคดีนั้นโดยยกเหตุว่า นายนวลเบิกความว่าจำหน้าคนร้ายไม่ได้ ฉะนั้น ข้อความที่นายนวลเบิกความจึงเป็นข้อสำคัญในคดี

ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยให้เงินพนักงานอัยการ5,000 บาทแต่กลับนำสืบว่าให้ 8,000 บาท ข้อเท็จจริงทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้อง ควรยกฟ้องนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์เห็นว่ากรณีเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องแต่เป็นเรื่องพยานโจทก์เบิกความไม่ตรงในรายละเอียดเพียงเล็กน้อยไม่ใช่ข้อสำคัญอันจะเป็นเหตุให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192

พิพากษายืน

Share