คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 134/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยทั้งสองชวนและพาผู้เสียหายออกไปจากเวทีรำวงเมื่อถึงที่เกิดเหตุจำเลยที่ 1 ร้องบอกให้พวกของจำเลยทั้งสองที่รอคอยอยู่ก่อนเข้าทำร้ายผู้เสียหาย แสดงว่าจำเลยทั้งสองกับพวกคบคิดวางแผนนัดหมายกันไว้ก่อน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แม้ทางพิจารณาปรากฏว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดเพียงฐานทำร้ายผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายตามฟ้อง แต่ก็ถือว่าเป็นความผิดที่รวมอยู่ในลักษณะเดียวกัน แม้มิใช่ความผิดตามที่โจทก์ฟ้องโดยตรง และมิใช่มาตราที่โจทก์ขอให้ลงโทษ ศาลก็ลงโทษจำเลยทั้งสองตามที่พิจารณาได้ความได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289, 80, 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296 ประกอบมาตรา 83 ให้จำคุกคนละ 1 ปี
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยทั้งสองนำสืบรับกันและไม่โต้เถียงเป็นอย่างอื่นฟังได้เบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ ผู้เสียหายและจำเลยทั้งสองได้ไปเที่ยวงานวัดวังหยวกซึ่งมีการละเล่นรำวงและฉายภาพยนตร์ครั้นถึงเวลาเกิดเหตุผู้เสียหายออกจากเวทีรำวงเดินไปทางด้านหลังวัดผ่านกุฎิเจ้าอาวาส แต่เมื่อถึงหน้ากุฏิเจ้าอาวาสได้มีคนร้ายใช้ขวานเป็นอาวุธฟันทำร้ายผู้เสียหาย และผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย ปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้ตามที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกับคนร้ายทำร้ายผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296 ประกอบด้วยมาตรา 83จริงหรือไม่ และศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามบทมาตราดังกล่าวซึ่งมิใช่ความผิดตามที่โจทก์ฟ้องและไม่ใช่มาตราที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองได้หรือไม่ สำหรับปัญหาแรกโจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความยืนยันว่าก่อนเกิดเหตุเป็นเวลาเที่ยงคืนเศษ ขณะที่พยานรำวงอยู่ในงาน มีจำเลยทั้งสองไปชวนพยานให้ออกไปจากเวทีรำวงโดยไม่บอกว่าจะพาไปที่ใด พยานเห็นว่าจำเลยทั้งสองเป็นเพื่อนบ้านรู้จักกันมาก่อนและไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันพยานจึงไปกับจำเลยทั้งสองซึ่งพาพยานออกไปทางด้านหลังวัดผ่านหน้ากุฏิเจ้าอาวาส ระหว่างทางมีคนมาเที่ยวงานอยู่บ้างประปราย เมื่อถึงหน้ากุฏิเจ้าอาวาสก็ได้ยินเสียงจำเลยที่ 1 พูดว่าเอาเลย เอาเลยแล้วพยานก็ถูกตีที่หน้าจนล้มลงกับพื้น และเมื่อพยานมองไปก็เห็นจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 จับมือของพยานไว้และมีคนนั่งทับหน้าอกซึ่งพยานไม่รู้จักชื่อแต่เห็นหน้าอีกจำได้ และทราบชื่อภายหลังว่าชื่อนายน้อย นายน้อยใช้ขวานฟันหลายครั้ง พยานหลบจึงถูกฟันที่คอเป็นบาดแผล ในขณะนั้นมีนายธนู ป้อมเสมา เข้ามาช่วยเหลือห้ามปราม จำเลยทั้งสองกับนายน้อยจึงพากันหลบหนีไป พยานยังให้เหตุผลอีกด้วยว่าที่เห็นและจำจำเลยทั้งสองได้ก็เนื่องจากบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากเวทีรำวงส่องสว่างมาถึงที่เกิดเหตุตามคำเบิกความของผู้เสียหายดังกล่าวมาเห็นได้ว่าผู้เสียหายกับจำเลยทั้งสองรู้จักกันมาก่อน ทั้งเป็นเพื่อนบ้านกันและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันเลย จำเลยทั้งสองก็ยอมรับว่าเป็นเพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกัน ดังนั้นการที่ผู้เสียหายเบิกความว่าจำเลยทั้งสองเข้าไปชวนผู้เสียหายให้ออกไปจากเวทีรำวงโดยไม่บอกว่าจะพาไปที่ใดและผู้เสียหายก็ตามจำเลยทั้งสองไปด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นก็หาเป็นการขัดต่อวิสัยของวิญญูชนทั่วไปไม่ เพราะตามปกติคนรู้จักและเป็นเพื่อนกันอาจจะชวนกันไปที่ใด ดังลักษณะที่อยู่ในพฤติการณ์ดังกล่าวก็ได้ แม้ผู้เสียหายจะไม่ได้ถามเสียก่อนว่าจะพาไปไหนและไปทำอะไร ก็หาใช่เหตุจำเป็นที่จะต้องถามไม่ และเนื่องจากขณะนั้นกำลังมีงานรื่นเริงและมีคนอยู่มาก ประกอบกับเมื่อพิจารณาถึงสถานที่ซึ่งมีฝูงชนมากและมีแสงสว่างกับระยะทางที่ผู้เสียหายไปถึงที่ที่ถูกทำร้ายก็ไม่ห่างไกลจากเวทีรำวงเท่าใดนัก นอกจากนี้จำเลยทั้งสองก็นำสืบเจือสมรับว่าคืนเกิดเหตุได้พากันไปเที่ยวงานวัดที่เกิดเหตุด้วย เฉพาะจำเลยที่ 2 เบิกความยอมรับว่าได้ไปยืนดูรำวงกับพวกอีกสองคน และเห็นผู้เสียหายมีลักษณะเมาสุราอยู่ที่บริเวณรำวงส่วนจำเลยที่ 1 นำสืบว่า ไม่ได้ตามไปดูรำวงด้วยเพราะกลับบ้านก่อนก็ตาม และนายธนูผู้เห็นเหตุการณ์ ในขณะเกิดเหตุจะเบิกความว่าเห็นเพียงนายน้อยกำลังใช้ขวานฟันผู้เสียหายในบริเวณนั้นไม่มีผู้อื่นเลยก็ตาม เห็นว่า คำเบิกความของนายธนูเป็นพิรุธ เพราะขัดกับคำให้การในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.6 ซึ่งนายธนูรับว่าเมื่อพนักงานสอบสวนถามแล้วก็ตอบไป จากนั้นพนักงานสอบสวนก็พิมพ์ในบันทึกคำให้การและได้ลงชื่อไว้ด้วยความสมัครใจ ไม่มีการข่มขู่หรือบังคับแต่อย่างใด ฉะนั้นการที่นายธนูปฏิเสธว่าเอกสารหมาย จ.6 ไม่ถูกต้องและความจริงเป็นดังที่เบิกความต่อศาลนั้นจึงรับฟังไม่ได้ คำให้การของนายธนูตามเอกสารหมาย จ.6 รับฟังประกอบคำเบิกความของผู้เสียหายได้ น่าเชื่อว่าผู้เสียหายมิได้แกล้งเบิกความปรักปรำใส่ร้ายจำเลยทั้งสอง จึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ไปชวนและพาผู้เสียหายออกไปจากเวทีรำวง ครั้นถึงที่เกิดเหตุจำเลยที่ 1 ได้ร้องบอกให้คนร้ายตีผู้เสียหายจนล้มแล้วจำเลยทั้งสองจับมือของผู้เสียหายไว้เพื่อให้คนร้ายทำร้ายผู้เสียหาย พฤติการณ์และการกระทำของจำเลยทั้งสองถือได้ว่ากรรมเป็นเครื่องชี้เจตนาแม้จำเลยทั้งสองมิได้ลงมือทำร้ายผู้เสียหายด้วยตัวเองก็เห็นได้ชัดว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาร่วมกับพวกในการทำร้ายผู้เสียหาย ส่วนปัญหาว่าจำเลยทั้งสองกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่นั้น เห็นว่าการที่จำเลยทั้งสองชวนและพาผู้เสียหายออกไปจากเวทีรำวง เมื่อถึงที่เกิดเหตุจำเลยที่ 1 ได้ร้องบอกให้พวกของจำเลยทั้งสองที่รอคอยอยู่ก่อนเข้าทำร้ายผู้เสียหาย แสดงว่าจำเลยทั้งสองกับพวกต้องคบคิดวางแผนนัดหมายกันไว้ก่อน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ปัญหาวินิจฉัยต่อไปมีว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296 ประกอบกับมาตรา 83 ได้หรือไม่เห็นว่า แม้ทางพิจารณาปรากฏว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดเพียงฐานทำร้ายผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายแต่ก็ถือว่าเป็นความผิดที่รวมอยู่ในลักษณะเดียวกันแม้มิใช่ความผิดตามที่โจทก์ฟ้องโดยตรงและมิใช่มาตราที่โจทก์ขอให้ลงโทษ ศาลก็ลงโทษจำเลยทั้งสองตามที่พิจารณาได้ความได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้ายที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share