คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13389/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้วินิจฉัยในประเด็นที่ว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาตัวแทนหรือไม่ โดยใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานโจทก์จำเลยทั้งสองแล้ว พยานหลักฐานของโจทก์ที่สืบมาฟังไม่ได้ตามข้อกล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาตัวแทนทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ส่วนประเด็นที่ว่าจำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระเงินตามฟ้องแก่โจทก์หรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้วินิจฉัยไปตามคำขอของโจทก์ที่ขอให้จำเลยทั้งสองรับผิดชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในมูลหนี้เงินมัดจำตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน กรณีจึงต้องวินิจฉัยไปถึงมูลดังกล่าวว่าจำเลยทั้งสองมีหน้าที่ต้องชำระหรือไม่ เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินที่จะซื้อจะขายไปโดยไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาตัวแทน การที่โจทก์ไม่อาจดำเนินการโอนที่ดินให้จำเลยที่ 1 ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจึงถือได้ว่าเป็นกรณีการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งฝ่ายโจทก์ต้องรับผิดชอบ โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายที่รับผิดจำต้องส่งคืนมัดจำตาม ป.พ.พ. มาตรา 378 (3) โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยที่จำเลยทั้งสองจ่ายเพื่อชำระหนี้เงินมัดจำตามฟ้อง ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยมาทั้งหมด ไม่เป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 528,125 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 500,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ 528,125 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2550 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนางจันทร์ดี ตามคำสั่งศาลจังหวัดเชียงราย จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อผูกพันบริษัทได้ โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางจันทร์ดีทำสัญญาจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 57907 ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย เนื้อที่ 6 ไร่เศษ มีชื่อนางจันทร์ดีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยที่ 1 ผู้จะซื้อในราคา 3,600,000 บาท ในวันทำสัญญา จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ชำระเงินมัดจำแก่โจทก์โดยออกเช็คสั่งจ่ายเงิน 500,000 บาท ให้แก่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเชียงราย เจ้าหนี้ผู้รับจำนองที่ดินแปลงดังกล่าว ส่วนที่เหลืออีก 3,100,000 บาท กำหนดชำระภายใน 120 วัน นับแต่วันทำสัญญาและโจทก์จะจัดการโอนกรรมสิทธิ์ในวันเดียวกัน รายละเอียดข้อตกลงปรากฏตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน โจทก์มอบเช็คเงินมัดจำให้จำเลยที่ 2 นำไปชำระหนี้จำนองบางส่วนให้แก่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเชียงราย เพื่อระงับการขายทอดตลาดที่ดินที่จะซื้อจะขายกันไว้ก่อน ทั้งนี้โจทก์ไม่ได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบว่าหนี้ที่ถูกบังคับคดีมีจำนวนถึง 4,500,000 บาท ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินแปลงดังกล่าวไปในราคา 2,400,000 บาท
มีปัญหาวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองผิดสัญญาตัวแทนทำให้โจทก์เสียหายหรือไม่ และจำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระเงินตามฟ้องแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองเป็นตัวแทนของโจทก์มีหน้าที่นำเช็คจำนวนเงิน 500,000 บาท ไปชำระหนี้แก่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเชียงราย เพื่อให้ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเชียงราย ระงับการขายทอดตลาดที่ดินแปลงจะซื้อจะขาย แต่จำเลยทั้งสองไม่ไปทำการตามที่ได้รับมอบหมาย จึงไม่ได้ระงับการขายทอดตลาดและเจ้าพนักงานบังคับคดีขายที่ดินที่จะซื้อจะขายไปทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยทั้งสองในฐานะตัวแทนจึงต้องรับผิดตามที่โจทก์ฟ้อง โจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองในเรื่องผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน ข้อที่โจทก์สามารถปฏิบัติตามสัญญาโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่จะซื้อจะขายให้จำเลยทั้งสองได้หรือไม่นั้น จึงเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้วินิจฉัยในประเด็นว่า จำเลยทั้งสองผิดสัญญาตัวแทนหรือไม่ โดยใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานโจทก์จำเลยทั้งสองแล้ว พยานโจทก์เป็นที่สงสัยว่าหากจำเลยทั้งสองนำเช็คไปชำระหนี้บางส่วนแก่ธนาคารผู้รับจำนองแล้ว ธนาคารผู้รับจำนองจะผ่อนผันการบังคับคดีให้หรือไม่ เมื่อจำเลยที่ 2 นำสืบว่า นำเช็คไปขอชำระหนี้บางส่วนแก่ธนาคารผู้รับจำนองแล้ว แต่ธนาคารผู้รับจำนองไม่ยอมรับชำระหนี้ พฤติการณ์แห่งรูปคดีจึงไม่ปรากฏแน่ชัดว่าจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 5 อีกนัยหนึ่งคือ พยานหลักฐานของโจทก์ที่สืบมาฟังไม่ได้ตามข้อกล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาตัวแทนทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ส่วนประเด็นว่าจำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระเงินตามฟ้องแก่โจทก์หรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้วินิจฉัยไปตามคำขอของโจทก์ที่ขอให้จำเลยทั้งสองรับผิดชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในมูลหนี้เงินมัดจำตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน กรณีจึงต้องวินิจฉัยไปถึงมูลดังกล่าวว่าจำเลยทั้งสองมีหน้าที่ต้องชำระหรือไม่ เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินที่จะซื้อจะขายไปโดยไม่อาจฟังได้ว่าเป็นเพราะจำเลยทั้งสองผิดสัญญาตัวแทน การที่โจทก์ไม่อาจดำเนินการโอนที่ดินให้จำเลยที่ 1 ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจึงถือได้ว่าเป็นกรณีการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งฝ่ายโจทก์ต้องรับผิดชอบ โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายที่รับผิดจำต้องส่งคืนมัดจำ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378 (3) โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยที่จำเลยทั้งสองจ่ายเพื่อชำระหนี้เงินมัดจำตามฟ้อง ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยมาทั้งหมด ไม่เป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นและที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์เสีย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share