คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1336/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 2676 คนเดิม ได้ใช้ทางเดินผ่านเข้าออกในที่ดินจำเลยกับพวกโฉนดเลขที่ 1683 ออกไปสู่ทางสาธารณะเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งขัดขวาง ทางพิพาทก็ตกอยู่ในภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 2676 เมื่อที่ดินแปลงดังกล่าวโอนมาเป็นของโจทก์ที่ 1 สิทธิในภาระจำยอมย่อมตกมาเป็นของโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1 และผู้อยู่ในที่ดินดังกล่าวย่อมมีสิทธิใช้ทางพิพาท จำเลยไม่มีสิทธิห้ามมิให้ใช้ทางพิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๖๗๖ และโจทก์ที่ ๒ ไปปลูกบ้านอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าว โจทก์ทั้งสองได้เดินผ่านที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ ๑๖๘๓ จนได้ภาระจำยอมในที่ดินดังกล่าวแล้ว ต่อมาจำเลยปิดกั้นทางเดิน ทำให้โจทก์ไม่สามารถเดินเข้าออกไปสู่ถนนสาธารณะได้ ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินโฉนดที่ ๑๖๘๓ ตกเป็นภาระจำยอมของที่ดินโฉนดที่ ๒๖๗๖ ให้จำเลยเปิดทางภาระจำยอมและห้ามจำเลยปิดกั้นต่อไป
จำเลยให้การว่า ทางพิพาทไม่ใช่ทางภาระจำยอม จำเลยให้ผู้อื่นใช้ทางเดินดังกล่าว บางครั้งเพราะมนุษยธรรม จำเลยไม่เคยปิดกั้นทางเดินขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ทางพิพาทในที่ดินโฉนดที่ ๑๖๘๓ ตกเป็นภาระจำยอมของที่ดินโฉนดที่ ๒๖๗๖ ให้จำเลยเปิดทางพิพาทและห้ามมิให้จำเลยปิดกั้นทางพิพาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๖๗๖ เป็นของนายตาด บุญเกิด โดยซื้อมาจากนางน้อม ธินทรัมพรรย์ นายจุ๊ย เอี่ยมโอภาส เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๔๘๘ นายตาด บุญเกิดโอนให้นางสระสม สรอัครพงศ์ ซึ่งเป็นบุตร เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๑๒ ต่อมานางสระสมขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๖๗๖ ให้โจทก์ที่ ๑ และขายบ้านเลขที่ ๒๔๓ ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๖๗๖ ให้โจทก์ที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๒๓ ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๖๗๖ ของโจทก์ที่ ๑ ทางด้านทิศใต้ติดต่อกับที่ดินของจำเลยกับพวก และที่ดินของจำเลยกับพวกทางด้านทิศใต้ติดต่อกับถนนสายลวดซึ่งเป็นทางสาธารณะ ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า ทางพิพาทก็ตกอยู่ในภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๖๗๖ ของโจทก์ที่ ๑ หรือไม่ โจทก์มีนางสระสม สรอัครพงศ์ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินเดิมและได้โอนขายให้แก่โจทก์ที่ ๑ เป็นพยานว่า เมื่อนายตาดบิดาซื้อที่ดินมาแล้วได้ปลูกบ้านขึ้น ๑ หลัง บิดามารดาและครอบครัวอาศัยอยู่ในบ้าน เข้าออกสู่ถนนสายลวดโดยเดินผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๖๘๓ ของจำเลยกับพวกดานทิศเหนือ กว้างประมาณ ๑.๕๐ เมตร เป็นระยะทาง ๔๐ เมตร และใช้ทางเดินนี้ตลอดมาจนกระทั่งขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๖๗๖ ให้โจทก์ที่ ๑ และขายบ้านให้แก่โจทก์ที่ ๒ ในการใช้ทางพิพาทจำเลยหรือคนอื่นมิได้โต้แย้ง นอกจากทางพิพาทแล้วไม่มีทางอื่นออกถนนสายลวด จำเลยที่ ๑ และนางประไพ แพรศรี ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมในที่ดินโฉนด เลขที่ ๑๖๘๓ เบิกความรับว่า เดิมที่ดินที่นางสระสมขายให้โจทก์ที่ ๑ เป็นของนายตาด นายตาดได้ปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดิน เมื่อมีถนนสายลวดจำเลยกับพวกได้ทำทางพิพาทใช้เดินไปออกถนนสายลวด จำเลยและพวกญาติพี่น้องใช้ทางพิพาทผู้อื่นใช้ไม่ได้ นายตาดกับบุคคลในครอบครัวได้อาศัยทางพิพาทออกสู่ถนนสายลวดเป็นบางครั้ง เพราะที่ดินของนายตาดติดคลองตาเด็ด นายตาดใช้เรือขายของ ถนนสายลวดมีประมาณ ๒๐ ปีแล้ว ที่จำเลยอ้างว่าใช้ทางพิพาทไปออกถนนสายลวดเป็นบางครั้งนั้น ไม่สมเหตุผลเพราะตามปกติเมื่อมีทางที่จะไปได้สะดวกกว่า ใกล้กว่าทุกคนก็จะเลือกไปในทางที่สะดวกและใกล้กว่า พยานโจทก์มีน้ำหนักกว่าพยานจำเลยฟังเชื่อได้ตามคำเบิกความของนางสระสมพยานโจทก์ว่า นายตาดและครอบครัวได้ใช้ทางพิพาทเป็นประจำตลอดมาจนโอนเป็นของนางสระสม คนที่อยู่ในบ้านก็คงใช้ต่อมาจนถึงวันที่นางสระสมได้โอนขายให้โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ เป็นระยะเวลาติดต่อกันมาเกิน ๑๐ ปีแล้ว การที่นายตาดและครอบครัวรวมถึงบุคคลที่อยู่ในบ้านของนางสระสมเดินผ่านเข้าไปในทางพิพาทซึ่งเป็นที่ดินของจำเลยกับพวกเป็นเวลาเกิน ๑๐ ปีแล้ว ทางพิพาทตกอยู่ในภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๖๗๖ เมื่อโอนมาเป็นของโจทก์ที่ ๑ สิทธิในภาระจำยอมย่อมตกมาเป็นของโจทก์ที่ ๑ โจทก์ที่ ๑ และผู้อยู่ในที่ดินดังกล่าวย่อมมีสิทธิใช้ทางพิพาท จำเลยไม่มีสิทธิห้ามมิให้ใช้ทางพิพาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share