คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1332/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การนำสืบการใช้เงินที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้กู้มาแสดงหรือมีการเวนคืนเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมหรือแทงเพิกถอนในเอกสารตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง หมายถึงการนำสืบถึงการชำระเงินต้นเท่านั้น ไม่รวมถึงการชำระดอกเบี้ย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้เงินกู้ ๒๓,๖๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๖,๔๙๐ บาท และขอให้จำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑
จำเลยทั้งสองให้การว่า ไม่มีการจ่ายและรับเงินตามสัญญากู้และสัญญาค้ำประกัน โจทก์เล่นแชร์และขายแชร์ให้จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ เล่นแชร์ในนามโจทก์ ต่อมาโจทก์ประมูลแชร์ได้เงิน ๑๔,๐๐๐ บาท และมอบเงินนั้นให้จำเลยที่ ๑ แล้วให้จำเลยทั้งสองทำสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันไว้เพื่อประกันความเสียหาย สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันจึงเป็นนิติกรรมอำพรางการเล่นแชร์ จำเลยที่ ๑ ส่งค่าแชร์มาตลอดคงค้างอยู่เพียง ๗ งวด งวดละ ๙๐๐ เป็นเงิน ๖,๓๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๖,๓๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๒๖ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน ๒๓,๖๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๒๔ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน ๖,๔๙๐ บาท ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมโจทก์เป็นผู้เล่นแชร์กับบุคคลอื่นมือละ ๕๐๐ บาท มีผู้เล่น ๒๘ มือ โจทก์เล่นเป็นมือที่ ๒๒ เล่นไปได้ ๑ เดือน โจทก์ขายแชร์ให้จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ จึงส่งค่าแชร์แทนโจทก์ตั้งแต่เดือนที่ ๒ เรื่อยมา ต่อมาเดือนที่ ๕ จำเลยที่ ๑ ประมูลแชร์ในนามของโจทก์แต่ไม่ได้จึงตกลงกับโจทก์ประมวลวงนอกกันโดยคิดดอกเบี้ย ๔๐๐ บาท โจทก์ให้เงินจำเลยที่ ๑ และให้จำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อในสัญญากู้และสัญญาค้ำประกัน จำเลยนำพยานบุคคลมาสืบว่าจำเลยที่ ๑ ได้ส่งค่าแชร์ต่อไปเดือนละ ๙๐๐ บาท ไม่ได้ส่งเพียง ๗ เดือน แต่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือหรือแทงเพิกถอนในสัญญากู้ และศาลฎีกาวินิจฉัยว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๓ วรรคสอง ที่ว่าในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือ จะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้กู้มาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้วหรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้วนั้น หมายถึงการนำสืบถึงการชำระเงินต้นเท่านั้น ไม่บังคับถึงการนำสืบถึงการชำระดอกเบี้ย ฉะนั้นที่จำเลยนำสืบว่าได้ชำระดอกเบี้ยจึงนำสืบได้แล้วศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยคงค้างดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเพียง ๙๐ บาท เนื่องจากคดีเกี่ยวด้วยหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงให้มีผลถึงจำเลยที่ ๑ ที่ไม่ได้ฎีกาด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๙๐ บาท และร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีในต้นเงิน ๒๓,๖๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ อนึ่ง คดีมีทุนทรัพย์ชั้นฎีกาเพียง ๒๓,๗๙๐ บาท มิใช่ ๓๐,๐๙๐ บาท ตามที่จำเลยที่ ๒ เสียค่าขึ้นศาลมาจึงให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เรียกไว้เกินแก่จำเลยที่ ๒

Share