แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยโอนสิทธิการเช่าตึกพิพาทให้ก.และได้ส่งมอบตึกพิพาทให้ ก. แล้ว ก. ว่าจ้างโจทก์ซ่อมแซมตึกพิพาทและอนุญาตให้โจทก์กับครอบครัวเข้าอยู่อาศัยในตึกดังกล่าว แม้ต่อมา ก.ไม่ชำระค่าโอนสิทธิการเช่าส่วนที่ค้าง ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องไปว่ากล่าวกับ ก. ในทางแพ่งการที่จำเลยใช้กุญแจใส่ประตูตึกพิพาทเป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถเข้าไปใช้ตึกพิพาทได้อีกจึงเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุขมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(3) แต่ยังถือไม่ได้ว่าการกระทำดังกล่าวของจำเลยเป็นการหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังโจทก์หรือกระทำด้วยประการใดให้โจทก์ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย จึงไม่มีความผิดตามมาตรา 310 วรรคแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าตึกแถวพิพาทจากเทศบาล แล้วทำสัญญาโอนสิทธิการเช่าแก่ ก. ก. วางเงินมัดจำและได้รับส่งมอบตึกพิพาทจากจำเลยแล้ว จึงว่าจ้างโจทก์ที่ 1 ซ่อมแซม ก. ให้โจทก์ทั้งสองพร้อมด้วยครอบครัวเข้าอยู่อาศัยในระหว่างการซ่อมแซมได้ จำเลยก็ทราบดี ต่อมาจำเลยเข้าไปใส่กุญแจตึกพิพาท เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองไม่สามารถเข้าไปดูแลทรัพย์สินและครอบครองตึกพิพาทตลอดมาโดยปกติสุข ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309, 310, 362, 365, 91 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว ประทับฟ้อง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310, 365 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักที่สุดตามมาตรา 365 จำคุก 3 เดือน ปรับ 2,000 บาท รอการลงโทษ 2 ปี คำขออื่นให้ยก โจทก์ทั้งสองและจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าสำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310, 365 ให้ยกฟ้องด้วยนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันว่า ตึกแถวพิพาทจำเลยทำสัญญาเช่าจากเทศบาลตำบลหัวหิน มีกำหนด 25 ปี เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2526 นายกำธรสุวรรณมานะศิลป์ ได้มาตกลงเซ้งหรือรับโอนสิทธิการเช่าจากจำเลยในราคา 300,000 บาท ได้วางมัดจำในวันทำสัญญา 20,000 บาทส่วนที่เหลือจะชำระให้เสร็จภายในระยะเวลา 1 เดือนครึ่ง ตามเอกสารหมาย ล.2 เมื่อครบกำหนดตามสัญญานายกำธรไม่ชำระเงินที่เหลือให้จำเลย หลังจากทำสัญญาดังกล่าวแล้วนายกำธรได้ว่าจ้างโจทก์ที่ 1ซ่อมแซมตึกพิพาท ทั้งอนุญาตให้โจทก์ทั้งสองพร้อมครอบครัวเข้าไปอยู่อาศัยได้ โจทก์ทั้งสองกับครอบครัวได้เข้าไปอยู่อาศัยและทำการซ่อมแซมตึกพิพาท เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2527 จำเลยได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอหัวหินให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ทั้งสองในข้อหาบุกรุกตึกแถวพิพาท โจทก์ทั้งสองถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมและถูกควบคุมตัวที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอหัวหินรวม 2 วัน เมื่อโจทก์ทั้งสองได้รับประกันตัวออกมาก็เข้าไปในตึกพิพาทไม่ได้เพราะจำเลยได้เอากุญแจมาใส่ประตูห้องไว้ ต่อมาพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องโจทก์ทั้งสองข้อหาบุกรุกปรากฏตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1557/2527 ของศาลชั้นต้น คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ทั้งสองว่า จำเลยได้กระทำผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพและบุกรุกตามโจทก์ฟ้องหรือไม่ เห็นว่าเกี่ยวกับตึกพิพาทข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้โอนสิทธิการเช่าให้นายกำธรเป็นเงิน 300,000บาท โดยวางมัดจำในวันทำสัญญา 20,000 บาท ส่วนที่เหลือนายกำธรจะชำระภายในกำหนด 1 เดือนครึ่งได้ทำหนังสือไว้เป็นหลักฐานตามเอกสารหมาย ล.2 การที่นายกำธรรับโอนสิทธิการเช่าตึกพิพาทจากจำเลยเป็นจำนวนเงินสูงเช่นนั้น นายกำธรเองก็ต้องประสงค์ที่จะใช้ตึกพิพาทหาประโยชน์หรืออยู่อาศัย จึงน่าเชื่อว่านายกำธรคงให้จำเลยมอบตึกพิพาทให้ตนเข้าครอบครองทำประโยชน์ตั้งแต่วันแรกที่ตกลงทำสัญญาและวางเงินมัดจำนั้นแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าถ้าจะมีการมอบการครอบครองตึกพิพาทให้นายกำธร ก็น่าจะมีข้อความใดระบุไว้ในสัญญาด้วยเพื่อให้เห็นว่าจำเลยได้มอบการครอบครองตึกแถวพิพาทพร้อมทั้งมอบกุญแจให้ ศาลฎีกาเห็นว่าถึงแม้ไม่มีข้อความระบุว่าได้มีการมอบการครอบครองตึกพิพาทก็ตามก็จะฟังว่าจำเลยไม่ได้มอบการครอบครองตึกพิพาทให้นายกำธรหาได้ไม่ เพราะการส่งมอบตึกพิพาทให้แก่กันไม่จำต้องทำเป็นรูปแบบสัญญา เป็นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายทำความตกลงกันเอง และการที่นายกำธรจ้างให้โจทก์ซ่อมแซมตึกพิพาทโดยว่าจ้างเป็นเงินจำนวนมากก็เป็นเหตุผลอีกประการหนึ่งแสดงให้เห็นว่าจำเลยน่าจะส่งมอบตึกพิพาทให้นายกำธรเข้าครอบครองทำประโยชน์แล้ว เพราะถ้าไม่เช่นนั้นนายกำธรจะจ้างโจทก์ให้ซ่อมแซมตึกพิพาทได้อย่างไร และที่จำเลยอ้างว่ากุญแจห้องที่เกิดเหตุหายโดยนายเล็กหรือดำรงค์ ยุติธรรม ยืมไปเปิดขอใช้น้ำแล้วทำหายจึงปิดประตูห้องที่เกิดเหตุไว้เฉย ๆ ตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2526ก็ไม่เป็นเหตุผลให้รับฟังได้เพราะนายลี เจริญใจ บุตรเขยจำเลยเองเบิกความว่าไม่เคยเห็นนายเล็กใช้น้ำที่ห้องพิพาทนี้เลย จำเลยเองแม้จะมีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพมหานคร แต่ก็ได้ความจากนางวิไลเจริญใจ บุตรจำเลยว่าส่วนมากจำเลยจะมาอยู่ที่อำเภอหัวหินซึ่งมีบ้านไม่ไกลจากตึกพิพาท จึงเชื่อว่าจำเลยต้องเห็นโจทก์ทั้งสองเข้าไปอยู่อาศัยทั้งเห็นมีการซ่อมแซมตึกพิพาท แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอ้างสิทธิครอบครองตึกพิพาทต่อนายกำธรแต่อย่างใด ปล่อยระยะเวลาให้ล่วงเลยไปนานจึงได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอหัวหินให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ทั้งสองในข้อหาบุกรุกตึกพิพาท พฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวส่อชี้ให้เห็นข้อพิรุธของจำเลยพยานจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ ที่โจทก์ทั้งสองกับพวกเข้าไปอยู่ในตึกพิพาทเป็นการอยู่โดยอาศัยสิทธิของนายกำธรจ้างให้โจทก์ทำการซ่อมแซมตึกพิพาทซึ่งนายกำธรยังคงมีสิทธิครอบครองอยู่ การที่นายกำธรไม่ชำระเงินค่าสิทธิการเช่าส่วนที่ยังติดค้างให้แก่จำเลยเป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องไปว่ากล่าวกับนายกำธรทางส่วนแพ่ง จำเลยไม่มีสิทธิที่จะเอากุญแจไปใส่ประตูตึกพิพาทการกระทำของจำเลยเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ซึ่งโจทก์ทั้งสองอาศัยสิทธิจากนายกำธร อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(3) แต่การที่จำเลยใส่กุญแจประตูตึกพิพาทจนเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองไม่สามารถเข้าไปใช้ตึกพิพาทได้นั้นยังถือไม่ได้ว่าจำเลยหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังโจทก์หรือกระทำด้วยประการใดให้โจทก์ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย จำเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 310 วรรคแรก อีกบทหนึ่งด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365(3) ลงโทษจำคุก 3 เดือน ปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้ 2 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์