แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำสั่งของศาลแรงงานกลางที่สั่งอนุญาตตามคำขอให้พิจารณาใหม่เกิดขึ้นภายหลังคำพิพากษา จึงมิใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา คู่ความมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้
ศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 1 ว่า เป็นคำขอที่ได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งเหตุที่คู่ความขาดนัดและข้อคัดค้านคำชี้ขาดตัดสินของศาลแรงงานกลางแล้วโจทก์จะยกปัญหาที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยเป็นที่ยุติไปดังกล่าวแล้ว ขึ้นมาอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาอีกไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ประกอบด้วย พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31
จำเลยที่ 1 เดินทางไปต่างประเทศก่อนถูกฟ้องและไม่เคยกลับเข้ามาประเทศไทยอีกเลย จำเลยที่ 1 ย่อมไม่สามารถแถลงขอให้ศาลพิจารณาใหม่ภายในกำหนดเจ็ดวันตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 41 เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้จงใจขาดนัด ศาลแรงงานกลางย่อมมีอำนาจที่จะให้จำเลยที่ 1 ได้พิจารณาใหม่ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 และ 209 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31.
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ ได้ร่วมกันทุจริตปลอมเอกสารแล้วเบิกเงินของโจทก์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่มีสิทธิขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดและพิจารณาชี้ขาดตัดสินไปฝ่ายเดียวให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินให้โจทก์ตามฟ้อง
ต่อมาจำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์คำสั่งศาลแรงงานกลางต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายกคำสั่งของศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ ๑ แล้วมีคำสั่งใหม่
ศาลแรงงานกลางไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ ๑ แล้ว มีคำสั่งให้นำคดีขึ้นพิจารณาใหม่
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ‘ในปัญหาที่ว่า คำสั่งของศาลแรงงานกลางที่ให้พิจารณาใหม่นี้เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาหรือไม่ตามคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ก่อน เพราะถ้าหากเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาแล้ว ก็ไม่เข้าข้อยกเว้นอันจะอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาได้ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ศาลแรงงานกลางได้มีคำพิพากษาไปแล้ว คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ ๑นี้เกิดขึ้นภายหลังคำพิพากษา คำสั่งของศาลแรงงานกลางที่สั่งคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ดังกล่าวจึงมิใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาดังคำแห้อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ โจทก์จึงมีสิทธิที่จะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวของศาลแรงงานกลางได้
สำหรับข้ออุทธรณ์ประการแรกของโจทก์ที่ว่า ตามคำร้องลงวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๙ จำเลยที่ ๑ เพียงมีเจตนาที่จะให้ศาลแรงงานกลางเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเท่านั้น การที่ศาลแรงงานกลางตีความว่าคำร้องของจำเลยที่ ๑ เป็นการขอให้พิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๘ ทั้งที่คำร้องดังกล่าวมิได้กล่าวโดยละเอียดถึงข้อคัดค้านคำชี้ขาดตัดสินของศาลแรงงานกลางว่าไม่ถูกต้องอย่างไร จึงเป็นการไม่ชอบนั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับคำร้องฉบับลงวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๙ ของจำเลยที่ ๑ เมื่อจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์คำสั่งของศาลแรงงานกลางที่สั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ ๑ ว่าตามคำร้องลงวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๙ ของจำเลยที่ ๑ นั้น ได้กล่าวถึงเหตุที่ตนขาดนัดเพราะไปอยู่ต่างประเทศ ไม่ทราบว่าถูกฟ้อง ทั้งได้กล่าวเป็นเชิงปฏิเสธว่าตนไม่ใช่ลูกจ้างของโจทก์ ไม่ได้กระทำละเมิด และกรณีไม่เป็นสัญญาจ้างแรงงาน อันมีนัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องศาลแรงงานกลางควรจะยกฟ้องโจทก์ได้ทันที จึงถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งที่ตนขาดนัดและข้อคัดค้านคำชี้ขาดตัดสินของศาลแรงงานกลางแล้ว ซึ่งข้อวินิจฉัยของศาลฎีกาดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยว่า คำร้องฉบับดังกล่าวของจำเลยที่๑ เข้าเหตุที่จะขอให้พิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๘ ได้ ข้ออุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นจึงเท่ากับยกปัญหาที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยเป็นที่ยุติไปแล้วขึ้นมาอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาอีก จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๔ ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒มาตรา ๓๑ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
ที่โจทก์อุทธรณ์ประการที่สองว่า ในคดีแรงงานกรณีที่จำเลยที่ ๑ ไม่ยื่นให้การและไม่มาศาลตามวันนัดที่ศาลได้ระบุในหมายเรียกนั้น ชอบที่จะถือว่าจำเลยที่ ๑ ได้ขาดนัดตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒มาตรา ๔๐ และ มาตรา ๔๑ แล้ว ศาลแรงงานกลางชอบที่จะมีคำสั่งว่าจำเลยที่ ๑ ขาดนัดตามมาตรา ๔๐ จำเลยที่ ๑ ต้องยื่นคำขอให้เพิกถอนคำสั่งเพื่อพิจารณาคดีใหม่ ตามระยะเวลาและวิธีการที่ระบุในมาตรา ๔๑ ฉะนั้น ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่โดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๘ จึงไม่ชอบนั้นพิเคราะห์แล้วศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ว่า ตามคำร้องของจำเลยที่ ๑ ที่ขอให้พิจารณาใหม่จำเลยที่ ๑ อ้างว่าเดินทางไปต่างประเทศก่อนถูกฟ้องและไม่เคยกลับเข้ามาประเทศไทยอีกเลย จำเลยที่ ๑ ย่อมไม่สามารถแถลงขอให้ศาลพิจารณาใหม่ภายในกำหนดเจ็ดวันตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๑ ได้เป็นธรรมดาอยู่เอง จึงให้ศาลแรงงานกลางไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ ๑ ว่าเป็นความจริงหรือไม่อย่างไร ดังนั้น เมื่อศาลแรงงานกลางดำเนินการไต่สวนแล้วได้ความจริงตามคำร้องของจำเลยที่ ๑ ว่า จำเลยที่ ๑ มิได้จงใจขาดนัดสมควรให้จำเลยที่ ๑ ต่อสู้คดีจนสิ้นกระแสความ ก็ย่อมมีอำนาจที่จะให้จำเลยที่ ๑ ได้พิจารณาใหม่นับแต่ยื่นคำให้การต่อสู้คดีเป็นต้นไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๘ และ ๒๐๙ ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒มาตรา ๓๑ ได้
ที่โจทก์อุทธรณ์ประการที่สามว่า การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๑ มีเจตนาที่จะต่อสู้คดีจึงเท่ากับมิได้จงใจที่จะขาดนัดเป็นการวินิจฉัยที่ขัดต่อบทกฎหมาย เพราะตามมาตรา ๔๑ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติให้ศาลไต่สวนถึงเหตุจำเป็นที่จำเลยที่ ๑ ไม่อาจมาศาลได้ ส่วนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา๒๐๘ และ ๒๐๙ ก็วางหลักไว้ว่าต้องมีเหตุควรเชื่อว่าคู่ความฝ่ายที่ขาดนัดมาศาลไม่ได้ การที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้พิจารณาใหม่โดยมิได้วินิจฉัยถึงมูลเหตุตามหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นการไม่ชอบนั้น พิเคราะห์แล้ว ได้ความตามที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ได้เดินทางออกไปจากประเทศไทยไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกาก่อนที่โจทก์จะฟ้องคดีและมิได้เดินทางกลับมาประเทศไทยอีกเลย เมื่อเจ้าพนักงานศาลไปปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องที่บ้านพักของจำเลยที่ ๑ บุตรสาวของจำเลยที่ ๑ ได้พยายามที่จะส่งสำเนาคำฟ้องไปให้จำเลยที่ ๑ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้ยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานกลางเพื่อขอเลื่อนการพิจารณาไปก่อนแต่ศาลแรงงานกลางสั่งยกคำร้อง ดังนั้น คำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางดังกล่าวข้างต้นถือได้ว่าได้วินิจฉัยถึงเหตุจำเป็นที่จำเลยที่ ๑ ไม่อาจมาศาลได้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ ๑ มิได้จงใจที่จะขาดนัด คำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางดังกล่าวจึงชอบแล้ว
ที่โจทก์อุทธรณ์ประการสุดท้ายว่า จากการไต่สวนพยานของคู่ความ ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ มีเหตุจำเป็นอันไม่อาจมาศาลตามวันนัดได้ จำเลยที่ ๑ ไม่ได้มาเบิกความต่อศาลเพียงอ้างลอย ๆ ว่า ตนป่วยแต่ก็ไม่ปรากฏว่าเจ็บป่วยประการใดการที่จำเลยที่ ๑ ไม่มาศาลตามนัดต้องถือว่าจำเลยที่ ๑ได้จงใจขาดนัดแล้ว พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้ออุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง ที่เชื่อตามทางไต่สวนของจำเลยที่ ๑ ว่าจำเลยที่ ๑ มิได้จงใจขาดนัด จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ตามคำร้องของจำเลยที่ ๑ นั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.