คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1323/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยและผู้ตายต่างสมัครใจต่อสู้วิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน จำเลยจะอ้างว่าถูกผู้ตายเตะและต่อยกับบีบคออย่างแรง จำเลยจึงใช้มีดแทงเพื่อเป็นการป้องกันตัวนั้นหาได้ไม่
ขณะที่จำเลยและผู้ตายกอดปล้ำต่อสู้กันนั้นเป็นเวลามืดค่ำมองไม่เห็นกัน จำเลยดึงมีดพกซึ่งเหน็บที่เอวแทงไปข้างหน้า 2 ที แทงไปโดยไม่รู้ว่าถูกตรงไหน จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้ตั้งใจแทงในที่สำคัญแต่ผลไปปรากฏว่าผู้ตายถูกแทงที่ใต้รักแร้ขวาและชายโครงซ้าย โลหิตตกในถึงแก่ความตาย เช่นนี้ เชื่อได้ว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าเพียงแต่มุ่งทำร้าย แต่ทำร้ายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้มีดแทงนายน้อยหรือสมศักดิ์ ไชยแก้วถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288

จำเลยให้การต่อสู้ว่าป้องกันตัว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ให้จำคุก 15 ปี ลดให้ตามมาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกาย จึงมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ให้จำคุกจำเลย 9 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 6 ปี

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงทำร้ายร่างกายนายน้อยหรือสมศักดิ์ ไชยแก้ว ถึงแก่ความตายจริง ปัญหาต่อไปจึงมีว่าการที่จำเลยแทงนายน้อยนั้น เป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุได้หรือไม่ และถ้าไม่เป็นการป้องกัน การกระทำของจำเลยจะเป็นการฆ่าคนตายโดยเจตนาหรือไม่เจตนา ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าก่อนจะเกิดมีการแทงทำร้ายร่างกายกันนั้น จำเลยไปต่อว่านางจี๋ว่าตักส้วมทำให้กลิ่นอุจจาระเหม็นจนภริยาจำเลยเป็นลมและอาเจียน จำเลยขอร้องให้ปิดส้วมเสียก่อน แต่เพราะได้เปิดส้วมตักอุจจาระแล้วจะปิดก็ลำบากจึงไม่ปิด และนางจี๋ว่า ถ้ารู้ว่าภริยาจำเลยกำลังอยู่ไฟก็จะไม่ตักส้วม จึงพูดขอโทษจำเลย ฝ่ายผู้ตายเห็นจำเลยมาต่อว่าเช่นนั้น ก็ลงเรือนมาที่ข้างบ่อน้ำและพูดว่า อย่าไปทะเลาะกับนางจี๋เลย เพราะนางจี๋เป็นคนแก่คนเฒ่าและขอโทษแล้ว จำเลยก็ว่าจะเอาอย่างไรดี ผู้ตายก็บอกว่าเอาอย่างไรก็ได้ จำเลยก็พูดว่าให้ไปสู้กันนอกบ้าน พูดแล้วจำเลยก็เดินไปผู้ตายก็เดินตามจำเลยพอไปถึงประตูบ้านนางไฮ้ จำเลยเดินกลับมาหาผู้ตายแล้วเกิดต่อสู้ทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันอยู่สัก 5 นาทีผู้ตายก็เดินกุมท้องกลับบ้านบอกว่าจำเลยแทง ปรากฏว่าถูกแทง 2 แผล ที่บริเวณใต้รักแร้ขวา 1 แห่ง ใต้ชายโครงซ้าย 1 แห่ง มีโลหิตไหล ญาติก็รีบนำผู้ตายส่งโรงพยาบาลคืนนั้น ผู้ตายอยู่ได้ 6-7 ชั่วโมงก็ถึงแก่ความตายเพราะแผลที่ถูกแทง โดยโลหิตตกใน พฤติการณ์อย่างนี้ฟังได้ว่าจำเลยและผู้ตายต่างสมัครใจต่อสู้วิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันการที่จำเลยอ้างว่าถูกผู้ตายเตะและต่อยกับบีบคออย่างแรง จึงใช้มีดแทงเพื่อเป็นการป้องกันตัวนั้น เห็นว่าเรื่องนี้เป็นการสมัครใจต่อสู้วิวาทกัน จำเลยจะยกเอาข้อป้องกันตัวมาเป็นเหตุให้พ้นผิดหาได้ไม่

ปัญหาต่อไปจึงมีว่า การกระทำของจำเลยจะเป็นการฆ่าคนตายโดยเจตนาหรือไม่เจตนา

เรื่องนี้เกิดเหตุเวลากลางคืนมืดแล้ว จำเลยกับผู้ตายต่อสู้กันอยู่ราว 5 นาที แล้วเลิกสู้กันโดยผู้ตายเดินกุมท้องกลับบ้านการต่อสู้กันมีเสียตุบตับ จึงฟังว่าต้องมีการกอดปล้ำกัน จำเลยว่าเจ็บที่เอว ก็นึกถึงมีดพกที่เหน็บเอวมา ก็ดึงมีดออกจากฝักแล้วเสยแทงไปข้างหน้า 2 ที ในขณะกอดปล้ำ เวลานั้นมืดค่ำมองไม่เห็นกันและแทงไปโดยไม่รู้ว่าถูกตรงไหนนั้น จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าแทงไปโดยไม่ตั้งใจแทงในที่สำคัญ แต่ผลไปปรากฏว่าผู้ตายถูกแทงที่ใต้รักแร้ขวาและชายโครงซ้าย โลหิตตกในถึงแก่ความตายขึ้นเช่นนี้ ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยไม่เจตนาฆ่า เพียงแต่มุ่งทำร้ายแต่ทำร้ายเขาจนเป็นเหตุให้เขาถึงแก่ความตายโดยไม่ตั้งใจเช่นนี้จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นชอบด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์

Share