คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1322/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงหนี้ที่จำเลยค้างชำระและพยานหลักฐานที่แสดงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ระหว่างวันที่เท่าใดจำนวนเท่าใดด้วยจึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาแล้วส่วนรายละเอียดแห่งหนี้เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าในช่วงเวลาที่จำเลยดำเนินกิจการรับถมดินที่ถนนสายบ้านบึง-บ้านค่าย จำเลยได้แสดงออกชัดหรือโดยปริยายให้นายเสริมบุญเมืองขวา และนายสนั่นซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยกระทำการเป็นตัวแทนของจำเลย ในช่วงเวลาดังกล่าวจำเลยได้นำรถยนต์อีซูซุดั้มบรรทุกไปซ่อมที่อู่ซ่อมรถยนต์ของโจทก์หลายครั้งและซื้ออะไหล่รถยนต์อีซูซุดั้มบรรทุกไปจากโจทก์หลายรายการ จึงเป็นหนี้โจทก์ดังต่อไปนี้คือเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2523 จำเลยเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน 51,703บาท รายบละเอียดปรากฎตามภาพถ่ายใบส่งสินค้าชั่วคราวลงวันที่ 3เมษายน 2523 เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2523จำเลยเป็นหนี้ค่าเฟืองท้าย 6 x 39 อีซูซุเฟืองช้าราคา 8,000 บาทรายละเอียดปรากฎตามภาพถ่ายหนังสือของจำเลยลงวันที่ 7 เมษายน 2523เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2523 จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 31,382 บาท ตามภาพถ่ายใบส่งสินค้าชั่วคราว ลงวันที่2 พฤษภาคม 2523 เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม2523 จำเลยเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน 740 บาท รายละเอียดตามภาพถ่ายใบส่งสินค้าชั่วคราว ลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2523 เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 91,285 บาท ต่อมาจำเลยได้ชำระหนี้ดังกล่าวโดยชำระด้วยเช็คของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาศรีราชา2 ฉบับ ๆ ละ 10,000 บาท รวม 20,000 บาท และเช็คของธนาคารกสิกรไทยจำกัด สาขาศรีราชา 1 ฉบับ จำนวน 10,000 บาท แต่โจทก์ได้รับเงินตามเช็คของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาศรีราชา 20,000 บาท เท่านั้นส่วนเช็คฉบับอื่นธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยจึงคงเป็นหนี้โจทก์71,825 บาท จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระต้นเงิน 70,825 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 20มิถนายน 2523 ซึ่งเป็นวันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายว่าจำเลยได้นำรถยนต์อีซูซุดั้มบรรทุกไปทำการซ่อมอะไรและซื้ออะไหล่ประเภทใดจำนวนเท่าใด มีกี่รายการ แต่ละรายการมีราคาเท่าใด จำเลยมิได้นำรถยนต์ไปซ่อมหรือซื้ออะไหล่จากโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจแัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 80,296 บาท 41 สตางค์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 71,825 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จและให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ 4,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 2,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟ้อง “เห็นว่าฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงหนี้ที่จำเลยค้างชำระและพยานหลักฐานที่แสดงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ระหว่างวันที่เท่าใด จำนวนเท่าใดด้วยจึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์มิได้ระบุรายละเอียดแห่งหนี้แต่ละรายการทำให้จำเลยไม่เข้าใจข้อหาที่โจทก์ฟ้องไม่อาจต่อสู้คดีได้นั้น เห็นว่ารายละเอียดแห่งหนี้นั้นเป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา การที่โจทก์ไม่ได้บรรยายรายละเอียดดังที่จำเลยกล่าวอ้างนั้นไม่เป็นเหตุที่จะถือได้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ 1,500 บาท.

Share