คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1322/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ขอยืมโฉนดที่ดินของโจทก์ไปจำนองเป็นประกันหนี้ที่จำเลยที่ 1 กู้ยืมจากธนาคาร โดยจำเลยที่ 1 จ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนให้โจทก์เป็นเงินจำนวนหนึ่ง และทำสัญญากู้ยืมเงินให้ไว้แก่โจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 1 ไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้แต่อย่างใด จำเลยที่ 1 ตกลงกับโจทก์เป็นหนังสือว่าจะจัดการโอนที่ดินคืนให้โจทก์ภายใน 1 ปี มิฉะนั้นยอมให้โจทก์ฟ้องเรียกหนี้เงินกู้ตามสัญญาที่ทำให้โจทก์ไว้ได้ ก่อนครบกำหนด 1 ปี โจทก์มอบให้ทนายความมีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยสองครั้งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน แล้วอ้างเหตุดังกล่าวมาฟ้องให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลาย ดังนี้ การทวงถามทั้งสองครั้งดังกล่าวจำเลยทั้งสองยังไม่มีหนี้ที่จะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญา กรณีจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้รับหนังสือทวงถามของโจทก์ให้ชำระหนี้รายนี้แล้วไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง ซึ่งมีระยะห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน อันจะเป็นเหตุทำให้จำเลยทั้งสองตกอยู่ในข้อสันนิษฐานว่าเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8(9)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ กู้ยืมเงินโจทก์ ๕๐๐,๐๐๐ บาท มีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาโจทก์ให้ทนายความมีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๒๓ ให้ชำระหนี้เงินกู้ภายใน ๓๐ วัน จำเลยทั้งสองได้รับหนังสือแล้วแต่เพิกเฉย โจทก์ให้ทนายมีหนังสือทวงถามไปอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๒๓ จำเลยทั้งสองได้รับหนังสือแล้วเพิกเฉยอีก จำเลยทั้งสองได้รับหนังสือทวงถามของโจทก์ให้ชำระหนี้ไม่น้อยกว่าสองครั้งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน แล้วไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ จำเลยทั้งสองเป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า มูลเหตุที่มีสัญญากู้ยืมเนื่องมาจากจำเลยที่ ๑ ขอยืมโฉนดเลขที่ ๖๖๕๓ ของโจทก์ไปกู้ยืมเงินจากธนาคาร ๕๐๐,๐๐๐ บาทจำเลยที่ ๑ ไม่มีหลักทรัพย์ให้โจทก์ยึดถือไว้ โจทก์จึงให้จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นหลักประกันและให้จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันไว้ สัญญากู้ยืมจึงไม่สมบูรณ์ จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือทวงถาม จำเลยทั้งสองสามารถหาเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาด
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ขอยืมโฉนดที่ดินของโจทก์ไปจำนองเป็นประกันหนี้ที่จำเลยที่ ๑ กู้ยืมจากธนาคาร โดยจำเลยที่ ๑ จ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนให้โจทก์จำนวน ๑๕๐,๐๐๐ บาท และจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ให้ไว้แก่โจทก์ โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ ๑ไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้แต่อย่างใด จำเลยที่ ๑ ตกลงกับโจทก์เป็นหนังสือว่าจะจัดการโอนที่ดินตามโฉนดดังกล่าวคืนให้โจทก์ภายในกำหนด ๑ ปี มิฉะนั้นยอมให้โจทก์ฟ้องเรียกหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวได้ แสดงว่าขณะที่โจทก์มอบให้ทนายความมีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยทั้งสองรวมสองครั้งดังกล่าว อยู่ในกำหนดระยะเวลาหนึ่งปีตามข้อตกลง จำเลยที่ ๑ ยังไม่มีความรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันก็อยู่ในฐานะเช่นเดียวกับจำเลยที่ ๑ ดังนี้ กรณีจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้รับหนังสือทวงถามของโจทก์ให้ชำระหนี้รายนี้แล้วไม่น้อยกว่า ๒ ครั้ง ซึ่งมีระยะห่างกันไม่น้อยกว่า๓๐ วัน อันจะเป็นเหตุทำให้จำเลยทั้งสองตกอยู่ในข้อสันนิษฐานว่าเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๘(๙)
พิพากษายืน

Share