คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1322/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หญิงมีสามีเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัด ฟ้องคดีในนามของหุ้นส่วนจำกัดนั้นได้ โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากสามี
เรื่องการฟ้องคดี ไม่จำเป็นต้องมีระบุไว้ในวัตถุประสงค์ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ซึ่งเป็นนิติบุคคล
ในชั้นชี้สองสถาน ประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้มีแต่เพียงว่า จำเลยที่ 1 หรือจำเลยร่วมเป็นผู้สั่งซื้อสินค้าของโจทก์ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็มิได้แถลงคัดค้านแต่อย่างไร จึงต้องถือว่ายอมรับตามประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ ที่จำเลยที่ 1 กลับมาอุทธรณ์ว่าจำเลยร่วมเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างอาคารพิพาทโดยการเชิดให้จำเลยที่ 1 เข้าประมูลรับเหมาก่อสร้างและจำเลยที่ 2 สั่งซื้อของจากโจทก์ในนามของจำเลยร่วม จำเลยที่ 1จึงไม่ต้องรับผิดนั้นศาลอุทธรณ์ย่อมไม่วินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญารับเหมาก่อสร้างอาคารโดยมอบหมายโดยปริยายให้จำเลยที่ ๒ เป็นตัวแทน และจำเลยทั้งสองเป็นหุ้นส่วนกัน จำเลยที่ ๒ ได้ซื้อเชื่อวัสดุก่อสร้างไปจากโจทก์ค้างชำระอยู่เป็นเงิน ๑๐๐,๒๒๑.๕๐ บาท แล้วจำเลยทั้งสองไม่ชำระจึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า โจทก์เป็นหญิงมีสามีไม่ได้รับความยินยอมจากสามีไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๑ เข้าเป็นคู่สัญญารับเหมาะก่อสร้างแทนนายไพศาล สัจจะรักษ์ การจัดซื้อวัสดุก่อสร้างและการดำเนินงานก่อสร้างนายไพศาลดำเนินการเอง จำเลยที่ ๑ ไม่เคยมอบหมายให้จำเลยที่ ๒ ซื้อวัสดุก่อสร้างและไม่เคยเป็นหุ้นส่วนกับจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ เป็นคู่สัญญารับเหมาก่อสร้าง จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงลูกจ้างจำเลยที่ ๑ และได้รับมอบหมายให้ควบคุมการก่อสร้างทั้งซื้อวัสดุก่อสร้างแทน จึงไม่ต้องรับผิด
จำเลยที่ ๑ขอให้ศาลหมายเรียกนายไพศาล สัจจะรักษ์ เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า ไม่เคยมอบหมายให้จำเลยที่ ๑ เป็นคู่สัญญาแทนการดำเนินการก่อสร้างอาคารพิพาทและการซื้อวัสดุก่อสร้างเป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๑มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ ได้ดำเนินการแทน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันชำระเงิน ๑๐๐,๒๒๑.๔๐ บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย ส่วนจำเลยร่วมให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ฎีกาขึ้นมาว่า แม้โจทก์จะเป็นห้างหุ้นส่วนที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย แต่ตัวนางสุวภี ภิญโญสโมสร หุ้นส่วนผู้จัดการก็ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะมีหน้าที่ในกิจการเฉพาะการค้าขายสินค้าและไมมีวัตถุประสงค์ระบุไว้ จึงไม่อยู่ในวัตถุประสงค์ของห้างฯ อันเป็นการแสดงว่าฟ้องในฐานะส่วนตัวและมิได้รับความยินยอมจากสามีนั้น ได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่าแม้นางสุวภี ภิญโญสโมสร หุ้นส่วนผู้จัดการหุ้นส่วนจำกัดจิตต์แสงชัยแพร่ จะเป็นหญิงมีสามีก็ตามและแม้การฟ้องคดีนี้จะมิได้รับความยินยอมจากนายสุข ภิญโญสโมสรสามีก็เป็นการฟ้องในนามของห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าว ซึ่งไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากสามีแต่ประการใด ทั้งในเรื่องการฟ้องคดี ไม่จำเป็นที่จะต้องมีระบุไว้ในวัตถุประสงค์ของห้างหุ้นส่วนจำกัดซึ่งเป็นนิตบุคคลแต่ประการใด ฎีกาจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น
จำเลยที่ ๑ ฎีกาต่อไปว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่บรรยายว่า จำเลยที่ ๑ ได้ซื้ออะไรบ้าง มีลายมือชื่อของจำเลยที่ ๑สั่งซื้อจริงหรือไม่ เป็นแต่อ้างว่าค้างเป็นเงินอยู่เท่าไร่เท่านั้น จำเลยที่ ๑ จึงไม่สามารถแก่ฟ้องได้ถูกต้อง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องให้เห็นแล้วว่า จำเลยที่ ๒ ในฐานะตัวแทนและหุ้นส่วนของจำเลยที่ ๑ เป็นผู้สั่งซื้อสินค้าจากห้างโจทก์สำหรับนำไปใช้ในการก่อสร้างและยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ ปรากฏตามเอกสารท้ายฟ้องซึ่งจำเลยที่ ๑ ต้องร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ ๒ชดใช้ให้แก่โจทก์ ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
จำเลยที่ ๑ ฎีกาต่อไปอีกว่า จำเลยร่วมเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างธนาคารออมสินรายพิพาทโดยการเชิดให้จำเลยที่ ๑ เข้าประมูลรับเหมาก่อสร้างและจำเลยที่ ๒สั่งซื้อจากโจทก์ในนามของจำเลยร่วม จำเลยที่ ๑ จึงไม่จำต้องรับผิดร่วมนั้น ได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในชั้นชี้สองสถานประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดก็มีแต่เพียงว่า จำเลยที่ ๑หรือจำเลยร่วมเป็นผู้สั่งซื้อสินค้าของโจทก์เท่านั้น ซึ่งจำเลยที่ ๑ มิได้แถลงคัดค้านแต่อย่างใด จึงต้องถือว่ายอมรับตามประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้จึงต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว ฎีกาจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share