คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1321/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การโต้แย้งสิทธิตาม ป.วิ.แพ่ง ม.55 นั้นหาจำต้องมีกฎหมายรับรองสิทธินั้นไว้โดยตรงเสียก่อนอย่างใดไม่ เมื่อผู้ใดโต้แย้งผู้นั้นก็อาจมาขอความคุ้มครองจากศาลได้เสมอ เช่นในกรณีขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเมื่อมีข้อโต้แย้งว่าใครจะมีสิทธิดีกว่าในการที่จะจดทะเบียนก่อน ดังนี้ศาลก็ต้องรับวินิจฉัยให้ อย่าว่าแต่ในระหว่างผู้ที่ยังไม่ได้จดทะเบียนด้วยกันเลยเจ้าของเครื่องหมายการค้าอ้นแท้จริงแม้จะยังมิได้จดทะเบียน จะยกขึ้นต่อสู้กับผู้ที่จดทะเบียนแล้วในศาลก็ยังได้ตามมาตรา 41 แห่ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า
ศาลฎีกามีอำนาจยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้ออุทธรณ์ใหม่ทั้งหมดหรือบางส่วน (อ้างฎีกาที่ 277/2496)

ย่อยาว

โจทย์ฟ้องขอให้แสดงว่าโจทก์มีสิทธิที่จะจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตรานกอินทรีย์ (EAGLE BRAND) ดีกว่าจำเลย ขอให้ห้ามจำเลยใช้บังคับให้จำเลยถอนคำร้องของจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าอย่างนี้เสีย และให้ใช้ค่าเสียหายอีก ๑๐,๐๐๐ บาทด้วย เมื่อโจทก์ไปยื่นขอจดทะเบียนพาณิชย์กลับปรากฎว่าจำเลยได้ยื่นคำขอจดทะเบียนไว้แล้วเหมือนกัน กองทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้แจ้งมาให้โจทก์จำเลยทำความตกลงกันหรือมิฉะนั้นก็ให้นำคดีขึ้นสู่ศาล จำเลยเพิกเฉยไม่ถอยคำร้องขอจดทะเบียน
จำเลยปฏิเสธเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์และต่อสู้ว่าจำเลยเป็นเจ้าของผู้ประดิษฐ์ใช้เครื่องหมายนี้ และได้ยื่นคำของจดทะเบียนไว้ก่อนโจทก์ค่าเสียหายโจทก์เรียกจากจำเลยไม่ได้ตามฎีกาที่ ๙๑๐/๒๔๙๐ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความ
ศาลแพ่งเห็นว่าโจทก์มีสิทธิขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าอันนี้ดีกว่าจำเลยพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิ ที่จะจดทะเบียนดีกว่าจำเลย ส่วนค่าเสียหายนั้นโจทก์ยังไม่ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ แม้จำเลยจะทำให้โจทก์เสียหาย กฎหมายก็ไม่คุ้มครองถึงให้ยกคำร้องข้อนี้เสีย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเอากรณีนี้มาฟ้องศาลให้พิจารณาพิพากษาได้เพราะไม่เป็นสิทธิ หน้าที่อื่นใดตามกฎหมายตาม ป.วิ.แพ่ง ม.๕๕ พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.๒๔๗๔ มาตรา ๑๗ วรรคต้น และมาตรา ๒๗,๒๙ จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยข้ออุทธรณ์อื่นใดของจำเลยอีกต่อไป พิพากษากลับคำพิพากษาศาลแพ่ง ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์ พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้ามาตรา ๒๙ และ ๑๗ สองมาตรานี้รวมกันแล้ว จะเห็นได้ว่าสิทธิในการเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าหรือสิทธิที่จะได้รับจดทะเบียนก่อนนั้น บุคคลผู้ใช้เครื่องหมายการค้าของตนยอมมีอยู่ สิทธิเช่นนี้ก็คือสิทธิที่ราษฎรทั้งหลายมีอยู่นั้นเอง ทำนองเดียวกับสิทธิที่จะขอใบเหยียบย่ำที่ดินรกร้างว่างเปล่าแปลงหนึ่ง หรือสิทธิ ที่จะขอประทานปัตรการทำเหมืองแร่ก่อราษฎรอื่น ๆ ซึ่งมีกรณีพิพาทกันในโรงศาลเสมอ ๆ การโต้แย้งสิทธิตามที่กล่าวไว้ในมาตรา ๕๕ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้นจึงหาจำต้องมีกฎหมายบัญญัติรับรองสิทธิไว้โดยตรงเสียก่อนอย่างใดไม่ สิทธิของราษฎรธรรมดาในอันที่จะได้รับจดทะเบียนหรือรับสัมประทานต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้นถ้ามีผู้มาโต้แย้งราษฎรผู้นั้นก็อาจมาขอความคุ้มครองจากศาลได้เสมอ มิฉะนั้นแล้วเช่นในกรณีขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านี้ ถ้าศาลไม่รับวินิจฉัยให้ว่าใครมีสิทธิดีกว่าในการที่จะจดทะเบียนคนหนึ่งก็อาจถูกคนอีกคนหนึ่งกลั่นแกล้งได้โดยง่ายโดยไปคัดค้านการขอจดทะเบียนของคน ๆ นั้นเสียทั่วทุกรายไป
ยิ่งกว่านั้นใน พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.๒๔๗๔ นั้นมาตรา ๓๐ ยังบัญญัติไว้เป็ใจความสำคัญว่า ” การจดทะเบียนตาม พ.ร.บ.นี้ไม่เป็นการขัดขวางต่อผู้ใดในการใช้โดยสุจริต ซึ่งนามสำนักงานการถ้าของตน ฯลฯ ” และในมาตรา ๔๑ ก็ยังได้บัญญัติให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนการ+เสียได้เมื่อผู้มีส่วนได้เสียยื่นคำร้องและแสดงได้ว่า ผู้ร้องมีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่าผู้ที่ได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของ ฯลฯ ทั้งนี้แสดงว่าผู้เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าอันแท้จริง แม้ยังมิได้จดทะเบียนจะยกขึ้นต่อสู้กับผู้ที่จดทะเบียนแล้วในศาลก็ยังไม่ได้ อย่าว่าแต่ในระหว่างผู้ที่ยังไม่ได้จดทะเบียนด้วยกันเลย ตามฎีกาที่ ๒๗๗/๒๔๙๖
พิพากษากลับให้ยกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เสีย ให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ข้ออุทธรณ์อื่น ของจำเลยต่อไปตามรูปคดี

Share