คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1072/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทย์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิในที่พิพาทให้โจทก์ตามสัญญาซื้อขาย จำเลยที่ 2 ร้องสอดขอเป็นจำเลยร่วมและต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียว เมื่อทางพิจารณาฟังจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นเจ้าร่วมกันดังนี้ ไม่เป็นคำวินิจฉัยนอกประเด็น
สัญญาจะขายที่ดินที่มีเจ้าของร่วมโดยเจ้าของร่วมทุกคนไม่รู้เห็นยินยอมด้วยสัญญานั้นไม่เป็นโมฆะเป็นแต่เพียงผู้ซื้อจะบังคับผู้ขายให้โอนขายไม่ได้
ผู้จะขายมอบที่ให้ผู้จะซื้อเข้าครอบครองสัญญาจะไปโอนกรรมสิทธิในภายหลัง นั้นถือว่าผู้จะซื้อครอบครองแทนผู้จะขายเท่านั้น ( อ้างฎีกาที่ 1232/2491 )

ย่อยาว

โจทย์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาจะขายที่นาหนึ่งแปลง ตำบลโพรงจรเข้ากิ่งอำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรังเป็นราคา ๓,๐๐๐ บาท จำเลยได้รับเงินไปแล้ว และมอบที่นาให้โจทก์ครอบครองและสัญญาว่าจะไปจัดการโอนกรรมสิทธิที่นาพิพาทให้โจทก์ แต่จำเลยบิดพริ้ว จึงขอให้จำเลยไปจัดการโอนกรรมสิทธินาพิพาทให้โจทก์หากจำเลยไม่ไปให้ความยินยอมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ก็ขอให้ศาลสั่งพนักงานเจ้าหน้าที่กิ่งอำเภอย่านตาขาว ทำการโอนนาพิพาทแก่โจทก์ โดยถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงความยินยอมของจำเลย
จำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่า มิได้ทำสัญญาจะขาย หากแต่ได้กู้เงินโจทก์และมอบนาให้ทำต่างดอกเบี้ย ทำสัญญากับโจทก์โดยความสำคัญผิดในสาระสำคัญ ขอให้ยกฟ้องต่อมาจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นบุตรจำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นจำเลยร่วมจำเลยที่ ๒ ต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ ๒ ไม่ใช่ของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ได้ครอบครองเป็นเจ้าของมาช้านานแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินให้โจทก์ตามฟ้อง พยานหลักฐานจำเลยไม่สามารถหักล้างพยานโจทก์ได้ พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ จัดการโอนที่ดินตามแผนที่กลางให้แก่โจทก์หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่โจทก์จริง แต่ที่ดินรายพิพาทจำเลยทั้ง ๒ คนแม่ลูกเป็นเจ้าของร่วมกันมา โดยจำเลยได้รับมรดกมาจากนายเซ็กหรือเข้ง สามีจำเลยที่ ๑ ซึ่งต้องบังคับตาม ป.พ.พ.ม. ๑๓๖๑ วรรค ๒ และฟังว่าจำเลยที่ ๒ ผู้เป็นเจ้าของร่วมมิได้รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ ๑ เอาไปทำสัญญาจะขายให้โจทก์ด้วยสัญญานี้ขัดต่อมาตรา ๑๓๖๑ วรรค ๒ ย่อมตกเป็นโมฆะ โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาไม่ได้ การครอบครองโจทก์อาศัยอำนาจจำเลย หาเป็นเรื่องจำเลยสละเจตนาครอบครองไม่ จึงยังไม่ได้สิทธิทางครอบครอง โดยปรปักษ์พิพากษากลับศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อทางพิจารณาได้ความจากพยานของโจทก์เองกับพยานของจำเลยว่าที่พิพาทจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ แม่ลูกได้รับมรดกปกครองมาด้วยกัน จำเลยทั้ง ๒ จึงเป็นเจ้าของร่วมกัน และไม่เป็นคำวินิจฉัยนอกประเด็นดังที่โจทก์โต้เถียง ส่วนที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาจะขายให้แก่โจทก์เสียหมดทั้งแปลง โดยจำเลยที่ ๒ หาได้รู้เห็นยินยอมด้วย ศาลฎีกาเห็นว่าสัญญานั้นไม่เป็นโมฆะตามคำชี้ขาดของศาลอุทธรณ์ เป็นแต่เพียงโจทก์จะฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ โอนขายให้แก่โจทก์หมดทั้งแปลงตามสัญญาไม่ได้ตามมาตรา ๑๓๖๑ (๒) เท่านั้น ตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๗๒/๒๔๙๑ คดีระหว่างนางแขม โจทก์นายเบี้ยงจำเลย การครอบครองของโจทก์อาศัยอำนาจจำเลย ต้องถือว่าโจทก์ครอบครองแทนผู้ขาย
พิพากษายืน

Share