คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13180/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดชี้สองสถาน ศาลได้สอบถามข้อเท็จจริงจากโจทก์จำเลยแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้และนัดฟังคำพิพากษา เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งก่อนที่จะได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 (2) และมิใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามมาตรา 24 เพราะศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่า กรณีเป็นเรื่องที่โจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 988/2547 ของศาลชั้นต้น และจำเลยก็อ้างว่าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความเช่นกันข้อโต้เถียงที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังคับคดี ต้องไปว่ากล่าวกันในคดีเดิม จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีโดยวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่ได้ความจากการสอบถามโจทก์จำเลย มิได้วินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อกฎหมายที่พิพาทกันในคดี ดังนั้น เมื่อนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวจนถึงวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเป็นเวลา 14 วัน โจทก์ย่อมมีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้ แต่มิได้โต้แย้ง โจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยต่อสัญญาเช่าอาคารพิพาทให้โจทก์ตลอดไปมีกำหนดคราวละ 10 ปีโดยไปจดทะเบียนการเช่าต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และให้จำเลยดำเนินการซ่อมแซมอาคารพิพาทด้วยค่าใช้จ่ายของโจทก์ หากไม่สามารถซ่อมแซมได้ ให้ก่อสร้างอาคารพาณิชย์หลังใหม่และให้โจทก์มีสิทธิเช่าต่อไป
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
วันชี้สองสถาน คู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า จำเลยเคยฟ้องขับไล่โจทก์ให้ออกจากอาคารพิพาทเลขที่ 16 และ 18 ต่อศาลชั้นต้น ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยมีข้อตกลงว่า โจทก์จะยอมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากอาคารพิพาทภายในวันที่ 1 กันยายน 2547 แต่เมื่อครบกำหนด โจทก์ไม่ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากอาคารพิพาทและจำเลยไม่ดำเนินการก่อสร้างอาคารหลังใหม่ ศาลชั้นต้นเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้อง คำให้การ สำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความและคำแถลงของคู่ความทั้งสองฝ่ายเพียงพอที่จะวินิจฉัยได้ จึงสั่งงดชี้สองสถาน นัดฟังคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดชี้สองสถาน ศาลได้สอบถามข้อเท็จจริงจากโจทก์จำเลยแล้ว เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้และนัดฟังคำพิพากษา เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งก่อนที่จะได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226 (2) และมิใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตาม มาตรา 24 เพราะศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่า กรณีเป็นเรื่องที่โจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่988/2547 ของศาลชั้นต้น และจำเลยก็อ้างว่าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความเช่นกัน ข้อโต้เถียงที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังคับคดีต้องไปว่ากล่าวกันในคดีเดิม จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีโดยวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่ได้ความจากการสอบถามโจทก์จำเลย มิได้วินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อกฎหมายที่พิพาทกันในคดีดังนั้น เมื่อนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวจนถึงวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเป็นเวลา 14 วัน โจทก์ย่อมมีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้ แต่มิได้โต้แย้งโจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าคำสั่งงดชี้สองสถานหรืองดสืบพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์มิได้โต้แย้งไว้ต้องห้ามไม่ให้อุทธรณ์แล้วพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์นั้น ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาเป็นพับ

Share