คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1313/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยบอกผู้เสียหายว่า ป. กับ ย. ต้องการร่วม ประเวณีกับผู้เสียหาย ผู้เสียหายไม่ยินยอม จำเลยจึงลุกขึ้นไปนั่งตรงประตูห้องไว้ไม่ให้คนเปิดประตูมาเห็นเพื่อให้ ป. กับ ย.ข่มขืนกระทำชำเรา ผู้เสียหาย โดย จำเลยมิได้ห้ามปรามคนทั้งสอง พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยร่วมมือกับ ป.และ ย. เพื่อให้คนทั้งสองข่มขืนกระทำชำเรา ผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงดังนี้ จำเลยเป็นตัวการร่วมในการกระทำความผิดดังกล่าวด้วย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319, 276,310, 83 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5)พ.ศ. 2525 มาตรา 3 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2530 มาตรา 7
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก ที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้วมาตรา 276วรรคสอง ที่แก้ไขแล้ว ประกอบกับมาตรา 86 แม้ในขณะกระทำความผิดจำเลยมีอายุ 18 ปีเศษ แต่เห็นว่าจำเลยมีความรู้ผิดชอบชั่วดีแล้วจึงไม่ลดมาตราส่วนโทษให้ เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว วางโทษฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 4 ปี ฐานสนับสนุนผู้อื่นให้กระทำความผิดตามมาตรา 276 วรรคสอง จำคุก 10 ปี รวม 2 กระทงเป็นจำคุก 14 ปีคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสี่แล้ว คงจำคุกจำเลย 10 ปี 6 เดือน ข้อหานอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยผิดฐานพรากผู้เยาว์ และผิดฐานร่วมเป็นตัวการในการข่มขืนกระทำชำเรา แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ให้เพิ่มโทษ จึงไม่เพิ่มเติมโทษจำเลยพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยในข้อหาฐานพรากผู้เยาว์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมในการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติแล้วว่า การที่จำเลยร่วมประเวณีกับผู้เสียหายนั้นไม่เป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราจึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยในเบื้องต้นว่า นายประมวลกับนายยูได้ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายและได้กระทำในลักษณะเป็นการโทรมหญิงหรือไม่ ผู้เสียหายเบิกความว่า เมื่อจำเลยกับผู้เสียหายกลับมาจากบ้านซึ่งกำลังก่อสร้างเข้าไปในบ้านของจำเลย พบนายประมวลกับนายยูนั่งดื่มสุราอยู่ที่นอกชานบ้านพี่สาวกับพี่เขยของจำเลยนอนหลับแล้ว ผู้เสียหายง่วงนอนและนอนติดฝาผนัง จำเลยนอนกอดผู้เสียหายนายยูเอื้อมมือมากอดผู้เสียหาย จำเลยบอกผู้เสียหายว่านายประมวลและนายยูต้องการร่วมประเวณีกับผู้เสียหายด้วย ผู้เสียหายไม่ยินยอมจำเลยลุกขึ้นไปนั่งอยู่ตรงประตูห้องพี่สาว นายยูเข้าไปกอดปล้ำผู้เสียหายขู่เข็ญว่าหากผู้เสียหายไม่ยอมจะทุบที่ท้อง แล้วกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง จากนั้นนายประมวลเข้าไปกอดปล้ำผู้เสียหายต่อแล้วกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่อีกคนหนึ่งพิเคราะห์แล้วเห็นว่าผู้เสียหายไม่เคยสนิทสนมรักใคร่ชอบพอกับนายประมวลและนายยูมาก่อนและผู้เสียหายเป็นหญิง ได้กล้าเบิกความถึงการกระทำของคนทั้งสองได้ต่อเนื่องถึงเหตุที่คนทั้งสองได้กระทำให้ผู้เสียหายได้รับความอับอายโดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายกับคนทั้งสองมีเหตุโกรธเคืองกันอันจะทำให้เห็นว่าผู้เสียหายแกล้งปรักปรำเช่นนั้น เชื่อว่าคนทั้งสองคือนายประมวลและนายยูได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจริง และการกระทำของคนทั้งสองที่ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายดังกล่าวมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงแล้วซึ่งสำหรับนายประมวลนั้นแม้จะมีคำพิพากษาของศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางคดีหมายเลขแดงที่ 405/2532 ระหว่างพนักงานอัยการ กรมอัยการ โจทก์ นายประมวล จันทร์เรือง จำเลยวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานโจทก์ในคดีดังกล่าวไม่พอรับฟังลงโทษนายประมวลในข้อหาร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายแล้วพิพากษายกฟ้องก็ตามก็ไม่ผูกพันที่คดีนี้จะต้องรับฟังข้อเท็จจริงตามคดีดังกล่าว ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมหรือไม่ เห็นว่า เมื่อจำเลยถามผู้เสียหายเรื่องนายประมวลกับนายยูต้องการร่วมประเวณีกับผู้เสียหายและผู้เสียหายไม่ยินยอมแล้วจำเลยกลับลุกขึ้นไปนั่งอยู่ตรงประตูห้องพี่สาวจำเลย ซึ่งประตูนี้ใช้เป็นทางเข้าออกภายในบ้านจำเลยกับที่เกิดเหตุ ลักษณะของจำเลยเป็นการนั่งขวางประตูไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คนในบ้านเปิดประตูออกมาเห็นเหตุการณ์หรือเข้าช่วยเหลือผู้เสียหาย และขณะที่นายประมวลกับนายยูกำลังข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอยู่นั้นจำเลยก็มิได้ห้ามปรามแต่อย่างใด กลับนิ่งเฉยอยู่ผิดวิสัยของคนที่อ้างว่ารักใคร่กันมาก่อน ที่จำเลยอ้างว่าจำเลยลุกขึ้นไปถ่ายอุจจาระในห้องน้ำ เมื่อออกมาจากห้องน้ำเห็นนายยูกำลังร่วมประเวณีอยู่กับผู้เสียหายเป็นทำนองว่าผู้เสียหายยินยอมร่วมประเวณีกับนายยูนั้น ก็เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่น่าเชื่อพฤติการณ์ของจำเลยแสดงให้เห็นว่าจำเลยร่วมมือกับนายประมวลและนายยูเพื่อให้คนทั้งสองข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงจำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมในการกระทำความผิดฐานดังกล่าวด้วย…”
พิพากษายืน.

Share