แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาว่าเป็นโมฆะแล้วนั้น มีผลเท่ากับสัญญาไม่มีผลมาตั้งแต่ต้น ดังนั้น แม้จำเลยทั้งสองจะร่วมกันเติมข้อความลงในช่องว่างที่เว้นไว้ในสัญญาผิดไปจากข้อตกลงและเบิกความยืนยันข้อความนั้นต่อศาลก็ไม่ทำให้โจทก์ได้รับ ความเสียหายแต่ประการใด โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยฐานปลอมเอกสารและเบิกความเท็จ การที่จำเลยเบิกความเท็จต่อศาลว่า เจ้ามรดกกู้เงินผู้อื่นและจำเลยเป็นผู้ชำระเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยแทนเจ้ามรดกนั้น หาใช่เป็นข้อสาระสำคัญในการฟ้องขอแบ่งมรดกแต่ประการใดไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมแปลงเอกสารสิทธิและร่วมกันเบิกความเท็จในคดีแพ่งและนำสืบ ใช้หรืออ้างเอกสารสิทธิที่ร่วมกันปลอมแปลงต่อศาล ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,84, 90, 177, 180, 264, 265 และ 268 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งประทับฟ้องโจทก์ จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ได้ความว่า โจทก์เป็นบุตรคนหนึ่งของนายชั้วและนางชลอน นุชท่าโก หลังจากนางชลอนถึงแก่กรรมแล้วนายชั้วได้แต่งงานกับจำเลยที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2513 และมีบุตรด้วยกัน 1 คน คือเด็กหญิงชีวารัตน์หรือชีวรัตน์ ต่อมาวันที่12 มิถุนายน 2523 นายชั้ว ถึงแก่กรรม วันที่ 14 สิงหาคม 2523โจทก์ นางบุษกร นุชท่าโก นายบัณฑิต นุชท่าโก นายสัมพันธ์นุชท่าโก และนายสมชาย นุชท่าโก กับจำเลยที่ 1และบุตรได้ทำหนังสือสัญญาประนีประนอมแบ่งมรดกของนายชั้ว วันที่ 11 มิถุนายน 2524 โจทก์ นางบุษกรและนายบัณฑิตเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ขอแบ่งมรดกของนายชั้วจำเลยที่ 1 ยกสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวขึ้นเป็นข้อต่อสู้ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.6 ในสำนวนคดีแพ่งแดงที่ 55/2525 ต่อมาวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2525 นางกำไร จึงเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1และจำเลยที่ 2 เป็นคดีเรื่องนี้กล่าวหาว่าร่วมกันปลอมโดยเพิ่มเติมข้อความในหนังสือสัญญาประนีประนอม และเบิกความเท็จเกี่ยวกับหนังสือสัญญาประนีประนอมดังกล่าวซึ่งผลที่สุดศาลฎีกาพิพากษาว่าหนังสือสัญญาประนีประนอมตามเอกสารหมาย ล.6 ในคดีแพ่งแดงที่55/2525 เป็นโมฆะ
จากที่ได้ความดังกล่าวศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อสัญญาประนีประนอมตามเอกสารหมาย ล.6 เป็นโมฆะตามคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งมีผลเท่ากับว่า หนังสือสัญญาประนีประนอมไม่มีผลมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นถึงแม้หากจำเลยทั้งสองจะได้ร่วมกันเพิ่มเติมเลขที่ น.ส.3 และ น.ส.3ก. ลงในช่องว่างที่เว้นไว้ผิดไปจากข้อตกลง และเบิกความยืนยันข้อความในหนังสือสัญญาประนีประนอมนั้นก็จะไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแต่ประการใด ส่วนในข้อที่ฟ้องว่าจำเลยเบิกความเท็จว่า นายชั้วกู้เงินนายชำนาญ 100,000 บาท และจำเลยที่ 1 เป็นผู้ชำระเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน 160,000 บาทนั้นก็หาใช่เป็นข้อสาระสำคัญในการฟ้องขอแบ่งมรดกแต่ประการใดไม่ ดังนั้นโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน