คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1313/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไป 600 บาท ได้ลงลายมือชื่อไว้ในแบบพิมพ์สัญญากู้และค้ำประกันที่ยังไม่ได้กรอกข้อความอื่นใดไว้เลยมอบให้โจทก์ไว้ ต่อมาโจทก์ได้กรอกข้อความและจำนวนเงินลงในเอกสารสัญญากู้และค้ำประกันว่า จำเลยที่ 1 ได้กู้เงินโจทก์ไป6,000 บาท และจำเลยที่ 2 ค้ำประกันเงินกู้จำนวนดังกล่าว การที่โจทก์กรอกข้อความลงในสัญญากู้และค้ำประกันว่าได้มีการกู้และค้ำประกันในจำนวนเงินถึง 6,000 บาท เกินกว่าจำนวนหนี้ที่เป็นจริงโดยจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 มิได้รู้เห็นยินยอมด้วยนั้นสัญญากู้และค้ำประกันตามฟ้องจึงไม่สมบูรณ์ ทำให้เอกสารดังกล่าวนั้นเป็นเอกสารปลอม โจทก์จึงอ้างเอกสารนั้นมาเป็นพยานหลักฐานในคดีอย่างใดไม่ได้ ฉะนั้น การกู้เงิน 6,000 บาท และการค้ำประกันตามที่โจทก์นำมาฟ้องจึงถือว่าไม่มีพยานหลักฐานเป็นหนังสือที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ (อ้างฎีกาที่ 286/2507 และ 1104/2508)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป 6,000 บาทจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ดังปรากฏตามสำเนาสัญญากู้เงินและค้ำประกันท้ายฟ้อง นับแต่วันกู้จนถึงวันฟ้อง จำเลยไม่เคยส่งเงินใด ๆ ให้โจทก์เลย จำเลยค้างดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง โจทก์ทวงถามหลายครั้งจำเลยเพิกเฉย จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้กู้เงินโจทก์ไป 600 บาทโจทก์ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์สัญญากู้และค้ำประกันโดยไม่ได้กรอกจำนวนเงินและข้อความใด ๆ ลงในช่องว่างของสัญญานั้น ๆ โจทก์คิดดอกเบี้ยร้อยละ 7 ต่อเดือนเป็นเงินเดือนละ 42 บาท จำเลยที่ 1 ได้ชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ตลอดมาจนถึงเดือนมกราคม2512 เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2512 จำเลยที่ 1 ได้นำเงิน 600 บาทไปชำระให้โจทก์ โจทก์ไม่ยอมรับชำระอ้างว่าจำเลยที่ 1 ค้างดอกเบี้ย2 เดือน เป็นเงิน 126 บาท จึงเกิดโต้เถียงและตกลงกันไม่ได้ ต่อมาโจทก์ได้กรอกข้อความจำนวนเงิน 6,000 บาท ลงในสัญญากู้และค้ำประกันและนำไปให้เจ้าพนักงานอากรแสตมป์ปรับแล้วนำมาฟ้องเป็นคดีนี้การที่โจทก์กรอกข้อความจำนวนเงินลงโดยจำเลยมิได้รู้เห็นยินยอมด้วยจึงเป็นสัญญาปลอม ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไป 600 บาท โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยลงลายมือชื่อในสัญญากู้และค้ำประกันโดยยังไม่ได้กรอกข้อความใด ๆ รวมทั้งจำนวนเงิน 600 บาทที่จำเลยจะต้องรับผิด จึงถือไม่ได้ว่าการกู้เงิน 600 บาทนี้ได้มีหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 โจทก์จึงฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ จำเลยไม่ต้องรับผิดใช้เงิน 600 บาทพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น แต่เห็นว่าจำเลยที่ 1 รับว่าได้กู้เงินโจทก์ไป 600 บาท ตามสัญญากู้ดังกล่าวจำเลยทั้งสองยังต้องรับผิดชดใช้เงินจำนวน 600 บาทให้แก่โจทก์ดอกเบี้ยที่ตกลงกันไว้เป็นโมฆะโจทก์ควรได้ดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้ต้นเงิน 600 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์

รองอธิบดีศาลอุทธรณ์คนหนึ่งทำความเห็นแย้งว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์ควรพิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดใช้เงินจำนวน 600 บาทแก่โจทก์

ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 ได้กู้เงินโจทก์ไป 600 บาท ได้ลงลายมือชื่อไว้ในแบบพิมพ์สัญญากู้และค้ำประกันที่ยังไม่ได้ กรอกข้อความอื่นใดไว้เลย มอบให้โจทก์ไว้ ต่อมาโจทก์ได้กรอกข้อความและจำนวนเงินลงในเอกสารสัญญากู้และค้ำประกันนี้ว่า จำเลยที่ 1กู้เงินโจทก์ไป 6,000 บาท และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้จำนวนดังกล่าว ซึ่งเป็นยอดเงินที่เกินไปกว่าจำนวนเงินที่ได้กู้และค้ำประกันไว้ การที่โจทก์กรอกข้อความลงในสัญญากู้และค้ำประกันว่าได้มีการกู้และค้ำประกันในจำนวนเงินถึง 6,000 บาท เกินกว่าจำนวนหนี้ที่เป็นจริง โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย สัญญากู้และค้ำประกันตามฟ้องจึงไม่สมบูรณ์ทำให้เอกสารดังกล่าวนั้นเป็นเอกสารปลอม โจทก์จึงอ้างเอกสารนั้นมาเป็นพยานหลักฐานในคดีอย่างใดไม่ได้ ฉะนั้น การกู้เงิน 6,000 บาท และการค้ำประกันตามที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จึงถือว่า ไม่มีพยานหลักฐานเป็นหนังสือที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิด ดังนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 286/2507 และคำพิพากษาฎีกาที่ 1104/2508

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องโจทก์

Share