คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6982/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ในวันนัดสืบพยานโจทก์และจำเลย จำเลยขอถอนคำให้การเดินแล้วให้การใหม่เป็นรับสารภาพ และตกลงกับผู้เสียหายขอผ่อนชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม 2548 ศาลชั้นต้นจึงนัดฟังคำพิพากษาหรือฟังผลการชำระหนี้ในวันที่ 25 สิงหาคม 2548 ซึ่งการที่ศาลชั้นต้นกำหนดวันนัดโดยระบุว่า นัดฟังคำพิพากษาหรือฟังผลการชำระหนี้ย่อมมีนัยว่าโจทก์จำเลยตกลงผ่อนชำระหนี้รายเดือนภายในวันที่นัดฟังผลการชำระหนี้นั้น หรือภายในวันที่ 25 ของเดือนซึ่งหากจำเลยผ่อนชำระหนี้ตามที่ตกลงกับผู้เสียหายไว้ ศาลก็จะเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาออกไปเพื่อให้โอกาสจำเลยผ่อนชำระหนี้ต่อไปให้ครบถ้วน แต่ถ้าหากจำเลยไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามข้อตกลงที่ได้แถลงไว้และผู้เสียหายไม่ประสงค์ให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ต่อไป ศาลก็อาจใช้ดุลพินิจอ่านคำพิพากษาไปได้ วันดังกล่าวจึงเป็นวันนัดฟังคำพิพากษาตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ ซึ่งจำเลยได้ทราบวันนัดโดยชอบแล้ว เมื่อปรากฏว่าในวันนัดจำเลยมิได้ชำระหนี้ให้แก่ผู้เสียหายอันเป็นการผิดเงื่อนไขที่ตกลงไว้กับผู้เสียหาย และผู้เสียหายแถลงว่าไม่ประสงค์ให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ต่อไปหากในวันดังกล่าวจำเลยมาศาล ศาลย่อมมีคำพิพากษาไปได้ในวันเดียวกันนั้น แต่จำเลยไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง พฤติการณ์แสดงว่าจำเลยไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ตามข้อตกลงได้ และกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่าจำเลยหลบหนี หรือจงใจไม่มาฟังคำพิพากษา ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นให้ออกหมายจับจำเลยมาฟังคำพิพากษากับให้นัดฟังคำพิพากษาใหม่ในวันที่ 10 กันยายน 2548 เมื่อถึงวันนัดซึ่งพ้น 1 เดือน นับแต่วันออกหมายจับแล้วไม่ได้ตัวจำเลยมาศาล ศาลชั้นต้นย่อมอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยได้ จึงเป็นการอ่านคำพิพากษาโดยชอบด้วยกฎหมาย และถือว่าจำเลยได้ฟังคำพิพากษาในวันดังกล่าวแล้ว ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 182 วรรคสาม ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงฯ มาตรา 4

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 และให้จำเลยคืนโทรทัศน์สี 1 เครื่อง ที่ยังไม่ได้คืน หรือใช้ราคาเป็นเงิน 49,500 บาท แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดบิ๊กบาย ผู้เสียหาย จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อมา วันที่ 25 กรกฎาคม 2548 จำเลยขอถอนคำให้การเดิมที่ให้การปฏิเสธแล้วให้การใหม่เป็นรับสารภาพ และผู้เสียหายกับจำเลยตกลงกันว่า จำเลยจะชำระหนี้แก่ผู้เสียหาย 49,500 บาท โดยชำระในวันดังกล่าว 5,000 บาท ส่วนที่เหลือขอผ่อนชำระเป็นรายเดือนเดือนละไม่ต่ำกว่า 8,000 บาท กำหนดชำระให้เสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม 2548 โจทก์และจำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ศาลชั้นต้นจึงนัดฟังคำพิพากษา หรือฟังผลการชำระหนี้ในวันที่ 25 สิงหาคม 2548 เวลา 9 นาฬิกา ครั้นถึงวันนัด จำเลยไม่มาศาล ผู้เสียหายแถลงว่าจำเลยชำระหนี้ให้ผู้เสียหายเพียง 5,000 บาท เท่านั้น และไม่ประสงค์ให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ต่อไป ขอให้พิพากษาคดีไปได้ ศาลชั้นต้นเลื่อนไปนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 30 กันยายน 2548 เวลา 9 นาฬิกา และออกหมายจับจำเลยมาฟังคำพิพากษา เมื่อถึงวันนัดดังกล่าวยังไม่ได้ตัวจำเลยมาศาลชั้นต้นจึงอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยโดยพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 จำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน ให้จำเลยคืน หรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 45,500 บาท แก่ผู้เสียหาย และออกหมายจับจำเลยเพื่อบังคับตามคำพิพากษาต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้
จำเลยยื่นคำร้องว่า ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยในวันที่ 30 กันยายน 2548 เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 182 วรรคสาม ขอให้เพิกถอนหมายจำคุกและอ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังโดยชอบใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 182 วรรคสาม หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า วันที่ 25 สิงหาคม 2548 เป็นวันนัดฟังคำพิพากษาหรือฟังผลการชำระหนี้ จึงยังไม่แน่ชัดว่าศาลจะพิพากษาในวันดังกล่าวหรือไม่ และร่างคำพิพากษาเพิ่งจัดทำขึ้นในวันที่ 30 กันยายน 2548 จึงเห็นได้ว่าวันที่ 25 สิงหาคม 2548 มิใช่วันนัดฟังคำพิพากษาตามความหมายของมาตรา 182 วรรคสาม การที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยในวันที่ 30 กันยายน 2548 จึงเป็นการไม่ชอบ เห็นว่า คดีนี้ในวันนัดสืบพยานโจทก์และจำเลยเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2548 จำเลยขอถอนคำให้การเดิมแล้วให้การใหม่เป็นรับสารภาพ และตกลงกับผู้เสียหายขอผ่อนชำระหนี้ 49,500 บาท ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม 2548 โดยขอผ่อนชำระเดือนละไม่ต่ำกว่า 8,000 บาท ศาลชั้นต้นจึงนัดฟังคำพิพากษาหรือฟังผลการชำระหนี้ในวันที่ 25 สิงหาคม 2548 ซึ่งการที่ศาลชั้นต้นกำหนดนัดโดยระบุว่า นัดฟังคำพิพากษาหรือฟังผลการชำระหนี้ย่อมมีนัยว่าโจทก์จำเลยตกลงผ่อนชำระหนี้รายเดือนภายในวันที่นัดฟังผลการชำระหนี้นั้นหรือภายในวันที่ 25 ของเดือน ซึ่งหากจำเลยผ่อนชำระหนี้ตามที่ตกลงกับผู้เสียหายไว้ศาลก็จะเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาออกไปเพื่อให้โอกาสจำเลยผ่อนชำระหนี้ต่อไปให้ครบถ้วน แต่ถ้าหากจำเลยไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามข้อตกลงที่ได้แถลงไว้และผู้เสียหายไม่ประสงค์ให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ต่อไป ศาลก็อาจใช้ดุลพินิจอ่านคำพิพากษาไปได้ วันดังกล่าวจึงเป็นวันนัดฟังคำพิพากษาตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ ซึ่งจำเลยได้ทราบวันนัดโดยชอบแล้ว เมื่อปรากฏว่าในวันนัดจำเลยมิได้ชำระหนี้ให้แก่ผู้เสียหายอันเป็นการผิดเงื่อนไขที่ตกลงไว้กับผู้เสียหาย และผู้เสียหายแถลงว่า ไม่ประสงค์ให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ต่อไป หากในวันดังกล่าวจำเลยมาศาล ศาลย่อมมีคำพิพากษาไปได้ในวันเดียวกันนั้น แต่จำเลยไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง พฤติการณ์แสดงว่าจำเลยไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ตามข้อตกลงได้ และกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่าจำเลยหลบหนี หรือจงใจไม่มาฟังคำพิพากษา ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นให้ออกหมายจับจำเลยมาฟังคำพิพากษากับให้นัดฟังคำพิพากษาใหม่ในวันที่ 30 กันยายน 2548 เมื่อถึงวันนัดซึ่งพ้น 1 เดือน นับแต่วันออกหมายจับแล้วไม่ได้ตัวจำเลยมาศาล ศาลชั้นต้นจึงอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย กรณีจึงเป็นการอ่านคำพิพากษาโดยชอบด้วยกฎหมาย และถือว่าจำเลยได้ฟังคำพิพากษาในวันดังกล่าวแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 182 วรรคสาม ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 กรณีจึงไม่มีเหตุต้องอ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังใหม่ ศาลชั้นต้นดำเนินการชอบด้วยวิธีพิจารณาความแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share