คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13093/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน และบรรยายฟ้องต่อไปแยกการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองที่กระทำต่อผู้เสียหายแต่ละคนเป็นข้อๆ ถือว่าโจทก์ฟ้องประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป เมื่อจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามฟ้อง ย่อมหมายความว่าจำเลยทั้งสองรับว่ากระทำความผิดหลายกรรมต่างกันตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง
ศาลชั้นต้นเรียงกระทงลงโทษโดยมิได้ปรับบทตาม ป.อ. มาตรา 91 และศาลอุทธรณ์ภาค 4 มิได้แก้ไขเป็นการมิชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความมิได้ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 มาตรา 3 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91 ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 มาตรา 3 (ก) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละกระทงละ 1 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 38 เดือน ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวกันหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยทั้งสองให้ผู้เสียหายแต่ละคนยืมเงินเวลาหรือวาระใดในระหว่างต้นเดือนมกราคม 2556 ถึงวันที่ 27 มิถุนายน 2556 อันจะชี้ให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองให้ผู้เสียหายแต่ละคนยืมเงินต่างเวลาต่างวาระกัน ซึ่งเป็นความผิดต่างกรรมต่างเวลากันนั้น เห็นว่า แม้โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าผู้เสียหายแต่ละคนยืมเงินจากจำเลยทั้งสองเมื่อใด ต่างเวลากันหรือไม่ก็ตาม แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องแล้วว่า เมื่อระหว่างต้นเดือนมกราคม 2556 ถึงวันที่ 27 มิถุนายน 2556 เวลากลางวัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งสองกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน และบรรยายฟ้องต่อไปแยกการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองที่กระทำต่อผู้เสียหายแต่ละคนเป็นข้อ ๆ ถือว่าฟ้องของโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามที่จำเลยทั้งสองกระทำต่อผู้เสียหายแต่ละคนในช่วงเวลาระหว่างต้นเดือนมกราคม 2556 ถึงวันที่ 27 มิถุนายน 2556 แล้ว เมื่อจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามฟ้องย่อมหมายความว่า จำเลยทั้งสองรับว่าได้กระทำความผิดฐานร่วมกันให้ผู้เสียหายแต่ละคนยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดโดยมิชอบ อันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง การกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน หาใช่กรรมเดียวกันดังที่จำเลยทั้งสองฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลชั้นต้นเรียงกระทงลงโทษจำเลยทั้งสองโดยมิได้ปรับบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และศาลอุทธรณ์ภาค 4 มิได้แก้ไขจึงเป็นการมิชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความมิได้ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัย และแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4

Share