คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1309/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

วันที่ 7 มกราคม 2500 บริษัท ส. เบิกเงินเกินบัญชีไปจากโจทก์ 477,100 บาท 83 สตางค์ วันที่ 9 มกราคม2500 บริษัท ส. จึงได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีให้ไว้กับโจทก์ว่า บริษัท ส. ได้ขอเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์เป็นเงินไม่เกิน 450,000 บาท มีกำหนดระยะเวลา 6 เดือน นับจากวันทำสัญญา ส่วนจำนวนเงินที่เบิกเกินบัญชีไปนั้น ให้ถือตามบัญชีกระแสรายวันของธนาคาร ดังนี้ เมื่อจำเลยค้ำประกันสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าว จำเลยจึงต้องค้ำประกันในหนี้ที่มีอยู่ก่อนวันทำสัญญา คือ จำนวนเงิน 447,100.83 บาท และหนี้ที่ก่อนั้นภายในเวลา 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญา คือจำนวนเงิน 97,616 บาท 83 สตางค์ รวมเป็นเงิน 544,717 บาท 66 สตางค์ แต่หนี้ที่เกิดขึ้นหลังจากพ้นระยะเวลา 6 เดือนแล้วจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบ และเมื่อจำเลยเป็นผู้ค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าว จึงต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าวแต่รับผิดเพียงในวงเงิน 450,000 บาท แต่ จำเลยจะต้องรับผิดเพียงดอกเบี้ยในต้นเงิน 97,616.83 บาทเท่านั้น.และต้องรับผิดทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยทบต้นตามบัญชีกระแสรายวัน เมื่อสิ้นกำหนด 6 เดือนซึ่งบริษัท ส. เป็นหนี้อยู่เกินกว่า 450,000 บาท แต่จำเลยคงรับผิดเพียงในวงเงิน 450,000 บาท
สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีของบริษัท ส. มีวงเงินไม่เกิน450,000 บาท แต่ได้ระบุเวลาไว้ 6 เดือน เมื่อครบกำหนดระยะเวลา บริษัท ส. หรือจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันไม่ชำระหนี้ดังกล่าว จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดในดอกเบี้ยทบต้นของจำนวนเงิน 450,000 บาท นี้ต่อไปอีก จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2506 ส่วนระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2506 จนถึงวันฟ้อง โจทก์ไม่ได้มีเจตนาเรียกร้องเอาดอกเบี้ย จำเลยจึงไม่ต้องชำระให้ และจำเลยต้องชำระดอกเบี้ยธรรมดานับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๔๙๘ บริษัทแสงอรุณกู้เงินโจทก์โดยวิธีเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์เป็นจำนวนเงิน ๘๐,๐๐๐ บาทกำหนดใช้คืนภายใน ๖ เดือน ถ้าไม่ใช่ยอมให้คิดดอกเบี้ยทบต้น ต่อมาบริษัทแสงอรุณมียอดจำนวนหนี้เป็นลูกหนี้โจทก์มากกว่าจำนวนดังกล่าววันที่ ๙ มกราคม ๒๕๐๐ จึงกู้เงินโดยวิธีเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์อีก ๔๕๐,๐๐๐ บาท กำหนดใช้ภายใน ๖ เดือน ถ้าไม่ใช้ยอมให้คิดดอกเบี้ยทบต้น จำเลยทำหนังสือสัญญาค้ำประกันเบิกเงินเกินบัญชีให้ไว้กับโจทก์ ต่อมาศาลแพ่งสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดบริษัทแสงอรุณขอให้จำเลยชำระเงิน ๑,๐๘๙,๔๕๒.๖๓ บาท ฯลฯ
จำเลยให้การว่า สัญญาค้ำประกันลงวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๔๙๘ ถูกเลิกไปในขณะทำสัญญาค้ำประกันลงวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๐๐ แล้ว โจทก์ได้รับชำระหนี้ส่วนที่จำเลยจะต้องรับผิดครบถ้วนแล้ว ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ ๔๕๐,๐๐๐บาท ฯลฯ
จำเลยฎีกา
ปัญหาที่ว่า ในสัญญาค้ำประกันฉบับที่ ๒ จำเลยได้ค้ำประกันหนี้ที่บริษัทแสงอรุณ จำกัด ก่อขึ้นเฉพาะภายในกำหนดเวลา ๖ เดือนนับจากวันทำสัญญาเท่านั้น หรือค้ำประกันหนี้ที่มีอยู่ก่อนทำสัญญาค้ำประกันและหนี้ที่เกิดขึ้นในระยะเวลา ๖ เดือน นับจากวันทำสัญญาด้วยหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๐๐บริษัทแสงอรุณ จำกัด ได้เบิกเงินเกินบัญชีไปจากธนาคารโจทก์๔๔๗,๑๐๐.๘๓ บาท แล้ววันที่ ๙ มกราคม ๒๕๐๐ บริษัทแสงอรุณ จำกัดได้ขอเบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารโจทก์เป็นจำนวนเงินไม่เกิน ๔๕๐,๐๐๐บาท มีกำหนดระยะเวลา ๖ เดือนนับจากวันทำสัญญา ส่วนจำนวนเงินที่เบิกเกินบัญชีไปนั้น ให้ถือตามบัญชีกระแสรายวันของธนาคารเมื่อจำเลยค้ำประกันสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าว จำเลยจึงต้องค้ำประกันในหนี้ที่มีอยู่ก่อนวันทำสัญญา คือจำนวนเงิน ๔๔๗,๑๐๐.๘๓บาท และหนี้ที่ก่อขึ้นภายในกำหนดเวลา ๖ เดือนนับแต่วันทำสัญญาคือ จำนวนเงิน ๙๗,๖๑๖.๘๓ บาท รวมเป็นเงิน ๕๔๔,๗๑๗.๖๖ บาท แต่หนี้ที่เกิดขึ้นหลังจากพ้นระยะเวลา ๖ เดือนแล้ว จำเลยไม่ต้องรับผิดชอบและเมื่อจำเลยเป็นผู้ค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวจำเลยจึงต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าว แต่รับผิดเพียงในวงเงิน ๔๕๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น นอกจากนี้ศาลฎีกาเห็นว่า ความรับผิดของจำเลยไม่จำกัดว่าจำเลยจะต้องรับผิดเพียงดอกเบี้ยในต้นเงิน ๙๗,๖๑๖.๘๓ บาทเท่านั้น จำเลยต้องรับผิดทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยทบต้นตามบัญชีกระแสรายวันเมื่อสิ้นกำหนดระยะเวลา ๖ เดือน ซึ่งบริษัทแสงอรุณ จำกัดเป็นหนี้อยู่เกินกว่า ๔๕๐,๐๐๐ บาท แต่จำเลยคงรับผิดทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยเพียงในวงเงิน ๔๕๐,๐๐๐ บาท สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีของบริษัทแสงอรุณจำกัด มีวงเงินไม่เกิน ๔๕๐,๐๐๐ บาทก็จริงอยู่ แต่ก็ได้ระบุกำหนดระยะเวลาไว้ ๖ เดือน เมื่อครบกำหนดระยะเวลา บริษัทแสงอรุณ จำกัดหรือจำเลยไม่ชำระหนี้ดังกล่าว จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดในดอกเบี้ยทบต้นของจำนวนเงิน ๔๕๐,๐๐๐ บาทนี้ต่อไปอีก จนถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๐๖ และดอกเบี้ยธรรมดาในยอดเงิน ๔๕๐,๐๐๐ บาทที่รวมกับดอกเบี้ยทบต้นดังกล่าวตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ ส่วนระหว่างวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๖ ถึงวันฟ้อง โจทก์หามีเจตนาเรียกร้องเอาดอกเบี้ยไม่ จำเลยจึงไม่ต้องชำระให้
พิพากษายืน

Share