คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1308/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทเนื้อที่2 ไร่ 25 ตารางวา จำเลยต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทจำนวนเนื้อที่ตามฟ้อง จำเลยซื้อมาจาก ส. และจำเลยได้ทำแผนที่พิพาทแสดงแนวเขตไว้ท้ายคำให้การด้วย โดยไม่ปรากฏข้ออ้างว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 906 ซึ่งจำเลยซื้อจาก ม. คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทดังกล่าว ดังนี้จำเลยจะกลับมาเถียงในชั้นบังคับคดีที่ดินพิพาทบางส่วนล้ำเข้าไปในที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 906 อีกหาได้ไม่ เพราะเป็นการเถียงข้อเท็จจริงซึ่งยุติแล้ว คู่ความแถลงรับกันว่า ในการบังคับคดีให้ยึด น.ส.3เลขที่ 117 เป็นหลักโดยวัดจากขอบของที่ดินด้านทิศเหนือขึ้นไปให้ได้เนื้อที่ 2 ไร่ 25 ตารางวา ดังนี้ เมื่อโจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดที่ดินพิพาทตามข้อตกลง และโจทก์ยินยอมรับเอาที่ดินเพียง 1 ไร่ 1 งาน 20 ตารางวาซึ่งน้อยกว่าที่ตกลงกันและไม่ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เช่นนี้ การบังคับคดีจึงชอบด้วยกฎหมายและตรงตามคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปรังวัดว่าที่ดินพิพาทรุกล้ำเข้าไปในที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 906 ก่อน

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินไม่มีเอกสารแสดงสิทธิ เนื้อที่ 2 ไร่ 25 ตารางวา ซึ่งอยู่ทางด้านทิศเหนือของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 117 และเรียกค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยจำเลยให้การต่อสู้คดีและฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นของจำเลย ศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลยทั้งสอง การที่จำเลยทั้งสองเข้าไปล้อมรั้วและตัดฟันต้นไม้ในที่พิพาททำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย พิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนขนย้ายสิ่งก่อสร้างและอุปกรณ์ออกจากที่ดินพิพาทห้ามเกี่ยวข้องต่อไปให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 4,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และยกฟ้องแย้ง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์และฎีกา ศาลอุทธรณ์ภาค 2 และศาลฎีกาพิพากษายืน จำเลยทั้งสองไม่ปฎิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา โจทก์ขอออกหมายบังคับคดี
ศาลชั้นต้นออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้จำเลยทั้งสองขนย้ายหิน กองแกลบออกไปจากที่พิพาทวันที่ 31 สิงหาคม 2538 โจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยไม่ปฎิบัติตามหมายบังคับคดีโดยขนหินกองแกลบออกไปเพียงบางส่วน ขอให้ออกหมายจับจำเลยมากักขังไว้จนกว่าจะยอมรื้อถอนขนย้ายออกไปจากที่ดินพิพาท
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งนัดไต่สวนคำร้องของโจทก์ โจทก์และจำเลยทั้งสองแถลงรับกันว่าในชั้นบังคับคดีให้ยึด น.ส.3 เลขที่ 117เป็นหลัก โดยวัดจากขอบของที่ดินทางด้านทิศเหนือขึ้นไปให้ได้เนื้อที่ 2 ไร่ 25 ตารางวา โดยโจทก์รับจะนำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดและเมื่อกำหนดวันนัดกับเจ้าพนักงานที่ดินแล้วจะแจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบเป็นหนังสือเพื่อระวังแนวเขต เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้ส่งแผนที่พิพาทซึ่งโจทก์และจำเลยทั้งสองร่วมกันนำชี้มายังศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นัดพร้อมเพื่อรับรองแผนที่พิพาทในวันที่ 22 สิงหาคม 2539 เมื่อถึงวันนัดพร้อมคู่ความมาศาลพร้อมกัน โจทก์แถลงว่าเป็นผู้นำรังวัดที่ดินพิพาทตามแผนที่พิพาทท้ายหนังสือสำนักงานที่ดินจังหวัดแม่ฮ่องสอนลงวันที่ 30 เมษายน 2537 ในส่วนที่ลากเส้นสีแดงไว้เป็นที่ดินพิพาท และโจทก์ประสงค์จะบังคับคดีเพราะที่ดินส่วนที่โจทก์นำรังวัดเท่านั้น ที่ดินส่วนอื่นโจทก์ไม่ประสงค์จะบังคับคดีขอสละสิทธิ์ จำเลยทั้งสองแถลงว่า ที่ดินตามเส้นสีแดงที่โจทก์นำรังวัดนั้น ล้ำเข้าไปในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 906 (ปัจจุบันเลขที่ 915/33) ตามเส้นสีเขียวที่จำเลยทั้งสองนำชี้ กรณีอาจไม่ตรงตามคำพิพากษาศาลฎีกา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าเจ้าหน้าที่รังวัดที่พิพาท โดยอาศัยแนวเขตด้านทิศเหนือของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 117 เป็นหลักโยงยึดได้เนื้อที่พิพาทตามแนวเส้นสีน้ำเงินในแผนที่พิพาท ที่ดินที่เจ้าพนักงานรังวัดเป็นที่ดินพิพาทแต่เมื่อโจทก์ประสงค์จะได้ที่ดินเพียงตามแนวเส้นสีแดงที่โจทก์นำรังวัด ซึ่งปรากฎตามแผนที่ดังกล่าวว่าแนวเขตของที่ดินตามเส้นสีแดงเป็นส่วนหนึ่งของแนวเขตที่ดินตามเส้นสีน้ำเงินที่ดินที่โจทก์ประสงค์จะบังคับคดีจึงตรงตามคำพิพากษาศาลฎีกาแล้วให้บังคับคดีไปตามแนวเขตเส้นสีแดงที่โจทก์นำรังวัด
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ที่ดินตามที่โจทก์นำชี้นั้นรุกล้ำเข้าไปในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 906 หรือ 915/33 ซึ่งจำเลยมีสิทธิครอบครองเนื้อที่ 3 งาน58 ตารางวา ที่ดินส่วนนี้ไม่ใช่ที่ดินพิพาทกันตามคำพิพากษาศาลฎีกาควรรังวัดแยกที่ดินของจำเลยซึ่งมีเอกสารสิทธิออกก่อนส่วนที่เหลือจึงควรเป็นที่ดินพิพาทกันตามคำพิพากษาศาลฎีกานั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า เดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ทางด้านทิศเหนือของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 117 เนื้อที่ 2 ไร่ 25 ตารางวา ซึ่งเป็นที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทจำนวนเนื้อที่ตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ซื้อมาจากนายส่วย คำใจดี ประกอบกับจำเลยทั้งสองได้ทำแผนที่พิพาทแสดงแนวเขตไว้ท้ายคำให้การด้วยซึ่งตามคำให้การและแผนที่พิพาทท้ายคำให้การไม่ปรากฎข้ออ้างว่าที่ดินพิพาทจำนวนเนื้อที่ 2 ไร่ 25 ตารางวา ตามฟ้องอยู่ในเขตที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 906 ซึ่งจำเลยที่ 1 ซื้อจากนางเมี๊ยะจี่แต่อย่างใด เมื่อศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทดังกล่าวแล้วจำเลยจะกลับมาเถียงอีกว่าที่ดินพิพาทบางส่วนล้ำเข้าไปในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 906 หรือ 915/33ซึ่งจำเลยซื้อจากนางเมี๊ยจี่หาได้ไม่เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงซึ่งยุติแล้ว นอกจากนี้ยังปรากฎว่าเมื่อวันที่8 พฤศจิกายน 2538 จำเลยทั้งสองก็แถลงต่อศาลชั้นต้นว่า ในการบังคับคดีให้ยึด น.ส.3 เลขที่ 117 เป็นหลักโดยวัดจากขอบของที่ดินด้านทิศเหนือขึ้นไป ให้ได้เนื้อที่ 2 ไร่ 25 ตารางวาดังนี้ เมื่อโจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดแม่ฮ่องสอนไปรังวัดที่ดินพิพาทตามข้อตกลง และโจทก์ยินยอมรับเอาที่ดินเพียง1 ไร่ 1 งาน 20 ตารางวา ซึ่งน้อยกว่าที่ตกลงกันและไม่ทำให้จำเลยทั้งสองได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้นแต่อย่างใดเช่นนี้ คำสั่งและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงชอบด้วยกฎหมายและตรงตามคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปรังวัดว่าที่ดินพิพาทรุกล้ำเข้าไปในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 906 หรือที่ 915/33 ก่อนดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา
พิพากษายืน

Share