คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1307/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทซึ่งได้รับมาตามพระราชบัญญัติ จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 ดังนั้นสิทธิของโจทก์ผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์จะต้องเป็นไปตามมาตรา12 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งบัญญัติว่า “ภายในห้าปีนับแต่วันที่ได้รับโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะโอนที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นไม่ได้…” ได้ความว่าทางราชการออกโฉนดที่ดินดังกล่าวให้โจทก์เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2519 ระยะเวลาห้ามโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินภายในห้าปีจึงมีอยู่จนถึงวันที่ 26 เมษายน 2524 แม้ว่า ส.บุตรจำเลยจะซื้อที่ดินพิพาทจาก จ. สามีโจทก์และรับมอบการครอบครองตั้งแต่วันที่ซื้อคือวันที่ 5 เมษายน 2519 ตลอดมาจนกระทั่งจำเลยรับโอนครอบครองทำประโยชน์ต่อเนื่องมาถึงวันที่ยื่นคำร้องขอต่อศาลขอแสดงกรรมสิทธิ์ ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 830/2531 จำเลยจะนำระยะเวลาก่อนวันที่พ้นระยะเวลาห้ามโอนตามกฎหมายมาเป็นระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ไม่ได้ ดังนั้นเมื่อนับระยะเวลาการครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่เมื่อพ้นระยะเวลาห้ามโอนกรรมสิทธิ์วันที่ 26 เมษายน 2524 ถึงวันที่ 20 กันยายน 2531 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ต่อศาลชั้นต้น จำเลยยังครอบครองที่ดินพิพาทไม่ครบสิบปีจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์คำสั่งศาลในคดีหมายเลขแดงที่ 830/2531 จึงไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและไม่ใช่คู่ความในคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคสอง(2)โจทก์จึงสามารถพิสูจน์ได้ว่าโจทก์ยังคงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 830/2531 และพิพากษาให้ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1659ตำบลพนานิคม อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้อง ให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดระยองยกเลิกกรรมสิทธิ์ของจำเลยในที่ดินแปลงดังกล่าวแล้วใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามเดิม
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 830/2531 และให้ถือว่าที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1659 ตำบลพนานิคม อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดระยองใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวตามเดิม
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า ที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย จ.2 ภาพถ่ายโฉนดเลขที่ 1659 ตำบลพนานิคมอำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง เนื้อที่ 23 ไร่ 3 งาน 53 ตารางวาเดิมเป็นที่ดินที่โจทก์ในฐานะสมาชิกนิคมสร้างตนเองจังหวัดระยองได้รับจัดสรรจากทางราชการให้เข้าครอบครองทำกิน ต่อมาวันที่5 เมษายน 2519 ก่อนได้รับโฉนดที่ดิน จ่าสิบเอกผล โพธิ์ทองสามีโจทก์ทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้แก่นายสายัณห์ ดวงดาราบุตรจำเลยพร้อมกับที่ดินแปลงอื่น หลังจากนั้นโจทก์พร้อมด้วยครอบครัวก็ย้ายออกจากที่ดินพิพาทไปอยู่จังหวัดฉะเชิงเทราโดยโจทก์ทำหนังสือมอบอำนาจให้นายสายัณห์ไปรับโฉนดที่ดินแทนนายสายัณห์เข้าครอบครองทำประโยชน์ ต่อมาก็มอบที่ดินพิพาทและโฉนดที่ดินที่ทางราชการออกให้ในชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ให้จำเลยครอบครองทำประโยชน์จนถึงวันที่ 20 กันยายน 2531 จำเลยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท อ้างว่าได้ครอบครองทำประโยชน์โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่าสิบปีแล้ว ศาลชั้นต้นไต่สวนและมีคำสั่งว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแล้วตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 830/2531 จำเลยจึงได้นำคำสั่งศาลไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเป็นของตนเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2531 มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาครบสิบปี อันจะถือว่าได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 1659 โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้ว หรือไม่ได้ความตามข้อความในภาพถ่ายโฉนดเลขที่ 1659 ว่า ที่ดินแปลงนี้ผู้ถือกรรมสิทธิ์ (โจทก์) ได้รับมาตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 ดังนั้นสิทธิของโจทก์ผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์จะต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ. 2511 มาตรา 12 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า “ภายในห้าปีนับแต่วันที่ได้รับโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะโอนที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นไม่ได้นอกจากการตกทอดโดยทางมรดกหรือโอนไปยังสหกรณ์ที่ตนเป็นสมาชิกอยู่แล้วแต่กรณี” ข้อเท็จจริงได้ความว่าทางราชการออกโฉนดที่ดินดังกล่าวให้โจทก์เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2519 ระยะเวลาห้ามโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินภายในห้าปีจึงมีอยู่จนถึงวันที่ 26 เมษายน 2524 แม้ว่านายสายัณห์บุตรจำเลยจะซื้อที่ดินพิพาทจากจ่าสิบเอกผล สามีโจทก์และรับมอบการครอบครองตั้งแต่วันที่ซื้อคือวันที่ 5 เมษายน 2519ตลอดมาจนกระทั่งจำเลยรับโอนครอบครองทำประโยชน์ต่อเนื่องมาถึงวันที่ยื่นคำร้องขอต่อศาลขอแสดงกรรมสิทธิ์ จำเลยจะนำระยะเวลาก่อนวันที่พ้นระยะเวลาห้ามโอนตามกฎหมายมาเป็นระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ไม่ได้ดังนั้น เมื่อนับระยะเวลาการครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่เมื่อพ้นระยะเวลาห้ามโอนกรรมสิทธิ์วันที่ 26 เมษายน 2524 ถึงวันที่20 กันยายน 2531 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ต่อศาลชั้นต้น จำเลยยังครอบครองที่ดินพิพาทไม่ครบสิบปีจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์คำสั่งศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 830/2531 จึงไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและไม่ใช่คู่ความในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสอง (2) โจทก์จึงสามารถพิสูจน์ได้ว่าโจทก์ยังคงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท เมื่อจำเลยโต้แย้งกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของตนโจทก์จึงชอบที่จะนำคดีมาฟ้องศาลได้ไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตแต่อย่างใด ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้นส่วนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 830/2531 นั้น เห็นว่า คำสั่งศาลดังกล่าวถึงที่สุดแล้วไม่อาจถูกเพิกถอนได้”
พิพากษายืน แต่ไม่เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 830/2531

Share