คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1306/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เสนอขอเอาประกันภัยรถยนต์บรรทุกของโจทก์ต่อบริษัทรับประกันภัยจำเลยนอกจากบริษัทจำเลยจะให้โจทก์กรอกแบบคำเสนอขอเอาประกันภัยแล้ว พนักงานบริษัทยังได้จดแจ้งจำนวนเงินเบี้ยประกันภัยไว้บนใบเสนอขอเอาประกันภัยนี้เพื่อโจทก์ได้ทราบด้วยแล้วต่อมาบริษัทจำเลยได้ออกกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่โจทก์ พร้อมทั้งมีหนังสือเตือนให้โจทก์ส่งเงินเบี้ยประกันภัยไปยังบริษัททันทีเมื่อได้รับกรมธรรม์ประกันภัย เช่นนี้ย่อมถือว่าสัญญาประกันภัยได้เกิดขึ้นและมีผลผูกมัดคู่กรณีแล้ว ข้อความในหนังสือบริษัทจำเลยซึ่งขอให้โจทก์รีบส่งเบี้ยประกันภัยไปยังบริษัททันที รวมทั้งที่มีระบุไว้ในคำขอเอาประกันภัยว่า “ยังไม่มีความรับผิดใด ๆ จนกว่าบริษัทจะยอมรับคำขอเอาประกันนี้และได้ชำระเบี้ยประกันเต็มจำนวนแล้ว”ไม่พอฟังเป็นเงื่อนไขว่า สัญญาจะมีผลผูกพันต่อเมื่อมีการชำระเบี้ยประกันภัยครบถ้วนแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2508 โจทก์ได้เอาประกันภัยรถยนต์ของโจทก์ยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน ล.บ.00759 ไว้กับบริษัทจำเลยและได้ชำระเบี้ยประกันภัยแล้ว ต่อมาวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2509 รถคันดังกล่าวได้ชนกับรถไถนาของนายชลอได้รับความเสียหาย โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบ จำเลยส่งคนไปตรวจรถแล้วแจ้งให้โจทก์นำรถไปซ่อมเองโดยจำเลยจะจ่ายค่าซ่อมให้ โจทก์ซ่อมรถสิ้นเงินไป 19,523 บาท แต่จำเลยไม่ยอมจ่ายเงินค่าซ่อมให้ ขอให้ศาลบังคับ

จำเลยให้การว่า โจทก์ได้ส่งคำเสนอขอเอาประกันภัยรถยนต์ตามฟ้องต่อจำเลยเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2508 เพื่อเอาประกันภัยรถไว้กับจำเลยมีกำหนดเวลาเริ่มต้นวันที่ 26 พฤศจิกายน 2508 และเวลาสิ้นสุดวันที่ 26 พฤศจิกายน 2509 จำเลยได้พิจารณาและกำหนดเบี้ยประกันภัยแล้วได้ส่งกรมธรรม์ประกันภัยไปให้โจทก์ทางไปรษณีย์ จำเลยได้แจ้งและกำหนดให้โจทก์ทราบแน่ชัดในหนังสือของจำเลยและกรมธรรม์ประกันภัยว่า กรมธรรม์ประกันภัยจะมีผลใช้บังคับเมื่อโจทก์ส่งเบี้ยประกันภัยให้จำเลยถูกต้องตามกำหนดเวลา เงื่อนไขนี้มีระบุอยู่ในคำเสนอขอเอาประกันภัยด้วย แต่โจทก์รับกรมธรรม์ประกันภัยแล้วไม่ส่งเบี้ยประกันภัยตามกำหนดที่ตกลงไว้ เมื่อรถโจทก์เกิดอุบัติเหตุได้รับความเสียหายเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2509 โจทก์ยังมิได้ส่งเบี้ยประกันภัยให้จำเลย กรมธรรม์ประกันภัยจึงยังไม่มีผลบังคับ โจทก์ส่งเบี้ยประกันภัยให้จำเลยวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2509 หลังวันรถของโจทก์เสียหาย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด และโจทก์รู้ดีว่ารถของโจทก์มีน้ำหนักบรรทุก 10.8 ตันแต่ปิดบังความจริง โดยแจ้งแก่จำเลยว่ารถมีน้ำหนักบรรทุก6 ตัน น้ำหนักบรรทุกของรถยนต์เป็นสารสำคัญในการคำนวณเบี้ยประกันภัย ซึ่งเมื่อจำเลยไม่รู้ความจริงมาก่อน จึงคำนวณเบี้ยประกันภัยต่ำไปกว่าปกติจำเลยได้บอกล้างไปยังโจทก์แล้ว จึงมีผลให้กรมธรรม์ประกันภัยเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกร้องจากจำเลย

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ผิดสัญญาส่งเบี้ยประกันภัยเพราะบริษัทจำเลยตกลงเปลี่ยนแปลงการชำระเบี้ยประกันภัยใหม่ และกรมธรรม์ประกันภัยสมบูรณ์ตามมาตรา 866 พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน13,500 บาทแก่โจทก์

โจทก์จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ไม่ส่งเบี้ยประกันภัยให้จำเลยตามเงื่อนไขที่กำหนด สัญญาประกันภัยระหว่างโจทก์จำเลยเกิดขึ้นมีผลบังคับผูกพันตั้งแต่วันที่จำเลยได้รับเบี้ยประกันภัยอันเป็นเวลาภายหลังรถของโจทก์เกิดความเสียหายขึ้นแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทน ไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาข้ออื่น ๆ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกาว่า สัญญาประกันภัยได้เกิดขึ้นและมีผลผูกพันจำเลยตั้งแต่ก่อนวันที่วินาศภัยเกิดขึ้น

ศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาโจทก์ซึ่งขึ้นมาสู่ศาลเพียงข้อเดียวว่า สัญญาประกันภัยระหว่างโจทก์จำเลยได้เกิดขึ้นและมีผลผูกพันจำเลยตั้งแต่ก่อนที่วินาศภัยเกิดขึ้นหรือไม่ว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับกันว่าโจทก์ได้เสนอขอเอาประกันภัยรถยนต์บรรทุกของโจทก์ตามใบเสนอขอเอาประกันภัยเอกสาร ล.1 ซึ่งจำเลยได้กำหนดเบี้ยประกันภัยและได้จดแจ้งจำนวนเงินเบี้ยประกันภัยลงไว้ตามที่ปรากฏในเอกสารดังกล่าวแล้ว ต่อมาจำเลยได้ส่งกรมธรรม์ประกันภัยตามเอกสาร ล.2 ไปให้โจทก์พร้อมทั้งมีหนังสือเตือนให้โจทก์ส่งเบี้ยประกันภัยไปให้จำเลยตามจำนวนที่จดแจ้งไว้ในเอกสาร 2 ฉบับข้างต้นแล้ว โจทก์รับกรมธรรม์ประกันภัยจากจำเลยแล้วมิได้โต้แย้งจำนวนเงินเบี้ยประกันภัยแต่อย่างใด จึงถือว่าได้ตกลงด้วยกับจำนวนเงินเบี้ยประกันภัยนั้นแล้ว ส่วนกำหนดเวลาชำระเบี้ยประกันภัยก็ปรากฎว่าจำเลยได้ยอมให้แบ่งชำระเป็น 2 งวด คือ งวดแรกเป็นเงิน 2,786.88 บาท ในวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ.1965 (พ.ศ. 2508) และงวดสองเป็นเงิน 1,750 บาท ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1966 (พ.ศ .2509) ตามเอกสาร ล.4 เช่นนี้เห็นว่าสัญญาประกันภัยระหว่างโจทก์จำเลยได้เกิดขึ้นด้วยการตกลงกันระหว่างโจทก์จำเลยโดยสมบูรณ์แล้ว ที่จำเลยโต้เถียงว่าได้กำหนดให้โจทก์ทราบในหนังสือของจำเลยและกรมธรรม์ประกันภัยว่า กรมธรรม์ประกันภัยจะมีผลใช้บังคับเมื่อโจทก์ส่งเบี้ยประกันภัยให้จำเลยถูกต้องตามกำหนดเวลานั้น หนังสือนำส่งกรมธรรม์ประกันภัยตามเอกสาร ล.2 ดังกล่าว คงมีข้อความเพียงว่า เมื่อโจทก์ได้รับกรมธรรม์ประกันภัยจากจำเลยแล้ว ให้โจทก์ส่งเบี้ยประกันภัยไปให้จำเลยทางธนาณัติหรือเช็คไปรษณีย์ทันทีเท่านั้น และกรมธรรม์ประกันภัยก็มิได้มีข้อจำกัดความรับผิดเช่นนั้น ส่วนคำเสนอขอเอาประกันภัยเอกสาร ล.1 ซึ่งมีข้อความอยู่ในบรรทัดท้ายสุดว่า “ยังไม่มีการรับผิดใด ๆ จนกว่าบริษัทจะยอมรับคำขอเอาประกันภัยนี้ และได้รับเบี้ยประกันภัยเต็มจำนวนแล้ว” ข้อความเพียงเท่านี้ไม่พอฟังเป็นเงื่อนไขว่ากรมธรรม์ประกันภัยจะมีผลใช้บังคับเมื่อโจทก์ส่งเบี้ยประกันภัยให้จำเลยถูกต้องตรงตามกำหนดเวลาดังที่จำเลยต่อสู้ ฉะนั้น เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ได้ส่งเบี้ยประกันภัยทั้งสองงวดให้จำเลยตั้งแต่ก่อนถึงกำหนดส่งเบี้ยประกันภัยในงวดหลัง จำเลยจึงต้องมีความรับผิด ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์และศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม อันเป็นประเด็นในชั้นศาลอุทธรณ์ และไม่เห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยเฉพาะปัญหาว่า สัญญาประกันภัยเกิดขึ้นและมีผลผูกพันจำเลยเมื่อใดแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียโดยมิได้พิจารณาพิพากษาในประเด็นข้ออื่น ๆ ที่ยังโต้เถียงกันจึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาในประเด็นการบอกล้างกรมธรรม์ประกันภัยและเรื่องค่าเสียหาย แล้วพิพากษาใหม่

Share