คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1306/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีที่จะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) นั้น ต้องเป็นกรณีที่กฎหมายบังคับให้ต้องนำพยานเอกสารมาแสดง ในกรณีเช่นว่านี้จะขอนำสืบเพื่อเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารนั้นไม่ได้
แต่การขอสืบความจริงสำหรับกรณีอื่น เช่น ระหว่างตัวการกับตัวแทน ไม่เกี่ยวแก่การบังคับหรือไม่บังคับนิติกรรมนั้นอย่างไร แม้ข้อเท็จจริงจะต้องแตกต่างไปจากที่ปรากฏในหนังสือก็ย่อมนำสืบได้
โจทก์ขอสืบความจริงว่าโจทก์โอนที่ดินให้จำเลยไปจัดการแบ่งปันให้ทายาทตามเหตุผลในฟ้องเป็นเรื่องระหว่างตัวการกับตัวแทนซึ่งเป็นลักษณะส่วนหนึ่งแห่งกฎหมายนั้น เป็นการนำสืบในกรณีว่าส่วนหนึ่งต่างหาก โจทก์ย่อมนำสืบได้(อ้างฎีกาที่ 838/2493) (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 12/2500)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์โอนที่ดินให้จำเลยเพื่อให้จำเลยไปจัดการแบ่งปันให้ทายาทและแบ่งให้วัดดอนไก่ดีตามส่วนที่ระบุไว้ในพินัยกรรมแต่จำเลยไม่แบ่งส่วนให้ตามนั้น ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสามโอนชื่อเฉพาะส่วนที่ได้รับยกให้จากโจทก์ในที่ดินโฉนดรายพิพาทมาเป็นของโจทก์

จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์โอนที่ดินนั้นให้จำเลยเป็นสิทธิขาดเพราะจำเลยใช้หนี้แทนโจทก์

ก่อนดำเนินการพิจารณา จำเลยที่ 2-3 ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ โดยจำเลยที่ 2-3 โอนที่ดินตามส่วนและยอมให้เงินแก่โจทก์

โจทก์คงดำเนินคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ต่อมา

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อกฎหมายโดยพิเคราะห์เอกสารสัญญาหมาย ล.1และสำเนาโฉนดหมาย ล.4 ซึ่งจำเลยอ้างมาและโจทก์มิได้โต้แย้งเอกสารทั้งสองนี้ประการใดในสัญญามีข้อความอยู่ชัดเจนว่า “ผู้ให้ยอมยกกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของตนซึ่งมีอยู่ในที่ดินแปลงซึ่งกล่าวไว้ข้างบนนั้นให้แก่ผู้รับเป็นเด็ดขาดตั้งแต่วันทำสัญญานี้ไป” ไม่มีเงื่อนไขเป็นประการอื่นอีกเลย โจทก์จะนำพยานมาสืบประกอบว่าโจทก์ให้จำเลยเพื่อให้จำเลยกับพวกไปจัดการแบ่งปันให้กับบุคคลอื่น จึงเป็นการสืบเพิ่มเติมข้อความในสัญญาอันเป็นเอกสารต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 จึงไม่จำเป็นต้องยกข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอื่นขึ้นวินิจฉัยต่อไปพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะที่พิพาทกับจำเลยที่ 1

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า กรณีที่จะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) ต้องเป็นกรณีที่กฎหมายบังคับให้ต้องนำพยานเอกสารมาแสดง การที่ขอนำสืบเพื่อเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขนิติกรรมที่คู่กรณีได้ตกลงทำเป็นหนังสือกันขึ้นไว้นั้นโดยตรงก็ย่อมไม่ได้ แต่การขอสืบความจริงสำหรับกรณีอื่นเช่น ระหว่างตัวการกับตัวแทนในคดีนี้ ไม่เกี่ยวแก่การบังคับหรือไม่บังคับนิติกรรมนั้นอย่างไร แม้ข้อเท็จจริงจะต้องแตกต่างไปจากที่ปรากฏในหนังสือ ก็ย่อมนำสืบได้ คดีนี้โจทก์ขอสืบความจริงว่าโจทก์โอนที่ดินให้จำเลยไปจัดการแบ่งปันให้ทายาทตามเหตุผลในฟ้องนั้นเป็นเรื่องระหว่างตัวแทนกับตัวการ ซึ่งเป็นลักษณะส่วนหนึ่งแห่งกฎหมายนั้น เพราะเป็นเรื่องนำสืบในกรณีอีกส่วนหนึ่งต่างหากโจทก์ย่อมนำสืบได้ตามนัยฎีกาที่ 838/2493

จึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาฟังพยานไปตามประเด็นในสำนวนความ แล้วพิพากษาชี้ขาดไปตามรูปคดี

Share