แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายโจทก์รอพยานอยู่จนเวลา 10.30 น. พยานโจทก์ก็ยังไม่มาศาลทนายโจทก์แถลงว่านัดกับ ร. พยานโจทก์แล้วว่าจะมา แต่ไม่มา ไม่ทราบจะทำประการใดขอให้ศาลสั่งต่อไปดังนี้เป็นการแถลงของทนายโจทก์ซึ่งมีอำนาจว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาใดๆ แทนโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 62 เมื่อศาลมีคำสั่งว่าโจทก์ไม่มีพยานมาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ให้ถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ และนัดสืบพยานจำเลยต่อไปตามที่จำเลยแถลงขอสืบพยาน จึงชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้วการที่วันรุ่งขึ้นโจทก์ยื่นคำร้องขอให้สืบพยานโจทก์ใหม่ โดยอ้างว่าความจริงในวันนัด ร. มาศาลเมื่อเวลา 10.15 น. แต่มิได้เข้าห้องพิจารณาเพราะดูในกระดานนัดความของศาลไม่พบชื่อบริษัทโจทก์ ก็จะนำมาลบล้างคำแถลงของทนายโจทก์โดยจำเลยมิได้ยินยอมด้วยไม่ได้ทั้งเป็นการล่วงเลยเวลาสืบพยานโจทก์ไปแล้ว ไม่มีเหตุที่จะสืบพยานโจทก์ใหม่ศาลชอบที่จะยกคำร้องของโจทก์เสีย กรณีเช่นนี้ข้อเท็จจริงปรากฏอยู่ตามคำร้องของโจทก์ชัดแจ้งแล้ว ศาลหาจำต้องไต่สวนคำร้องนั้นอีกไม่และมาตรา 21 ก็ไม่ได้บังคับว่าศาลต้องไต่สวนก่อนมีคำสั่งทั้งไม่ใช่กรณีที่ศาลไม่ให้โอกาสเต็มที่แก่คู่ความที่จะมาฟังการพิจารณาและใช้สิทธิเกี่ยวกับกระบวนพิจารณาตามมาตรา 103 ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยเสร็จและมีคำพิพากษาแล้วจึงไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์จะใช้อำนาจตามมาตรา 243(2) ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องของโจทก์เสียก่อนแล้วสั่งใหม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินตามแบบแจ้งการประเมินภาษีการค้า ภ.ค.(พ) 8 ให้ยกคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จำเลยที่ 2,3,4 เสีย
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินชอบแล้ว ฯลฯ ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์ เลื่อนการสืบพยานโจทก์มาแล้ว 2 ครั้ง ในครั้งที่ 3 คือวันที่ 20 ธันวาคม 2515 ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลความว่า นัดสืบพยานโจทก์วันนี้ โจทก์จำเลยมาศาลทนายโจทก์รอพยานอยู่จน 10.30 นาฬิกา พยานยังไม่มาเลยสักคนเดียวนายราชัย เตชะพูนผล กรรมการผู้จัดการโจทก์ซึ่งนัดจะมาเบิกความวันนี้ก็ไม่มา ทนายโจทก์แถลงว่า นัดกับนายราชัย แล้วว่าจะมา แต่ก็ไม่มา ไม่ทราบจะทำประการใด ขอให้ศาลสั่งต่อไป ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อโจทก์ไม่มีพยานมาศาลในวันนัดก็ให้สืบพยานจำเลยไปโดยถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ แล้วศาลนัดสืบพยานจำเลย รุ่งขึ้นเป็นวันที่ 21 ธันวาคม 2515 โจทก์ยื่นคำร้องว่า นายราชัย เตชะพูนผลมาศาลในวันที่ 20 ธันวาคม 2515 เมื่อเวลา 10.15 นาฬิกา โดยเข้าใจว่าทนายโจทก์ให้มา ตรวจเอกสารและไปดูที่กระดานนัดหาชื่อบริษัทโจทก์ไม่พบ นายราชัย นั่งรอทนายอยู่ที่หน้าศาลแพ่งจนเวลา 11 นาฬิกา จึงได้พบทนายที่หน้าศาลแพ่ง ได้ไปดูที่กระดานนัดอีกครั้ง จึงพบในกระดาษนัดด้านหลังเขียนว่า บ. ป๊อป โจทก์ กรมสรรพากร จำเลย บัลลังค์ 19ซึ่งถ้าผู้ร้องได้เห็นในครั้งแรกและไม่เกิดความเข้าใจผิด ผู้ร้องก็คงไปบัลลังค์ 19 และเข้าสืบพยานได้ทัน ขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ให้โจทก์นำพยานเข้าสืบ
ศาลชั้นต้นสั่งว่า ไม่มีเหตุจะพิจารณาใหม่ ให้ยกคำร้อง
วันที่ 15 มกราคม 2516 โจทก์ยื่นคำร้องขอนำพยานเข้าสืบอีกโดยอ้างว่าเข้าใจผิดและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ศาลสั่งให้ยกคำร้องศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานจำเลยเสร็จแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่ให้โจทก์นำพยานเข้าสืบ ขอให้เพิกถอนหรือยกเลิกคำสั่งนี้และยกเลิกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยใหม่แล้ว พิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 21 ธันวาคม 2515 เสียก่อน แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่20 ธันวาคม 2515 ทนายโจทก์ซึ่งมีอำนาจว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ แทนโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 62 มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ ได้แถลงต่อศาลชั้นต้นว่า นัดกับนายราชัย(พยานโจทก์) แต่ไม่มา ไม่ทราบว่าจะทำประการใด ขอให้ศาลสั่งต่อไปฉะนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เมื่อโจทก์ไม่มีพยานมาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ ก็ให้ถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ และนัดสืบพยานจำเลยต่อไปตามที่จำเลยแถลงขอสืบพยาน จึงชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้วการที่โจทก์ยื่นคำร้องในวันที่ 21 ธันวาคม 2515 และ 15 มกราคม 2516 ขอสืบพยานใหม่ โดยอ้างว่านายราชัย มาศาลในวันที่ 20 ธันวาคม 2515แล้วนั้น จะนำมาลบล้างคำแถลงของทนายโจทก์ซึ่งดำเนินกระบวนพิจารณาแทนโจทก์โดยจำเลยมิได้ยินยอมด้วยไม่ได้ ทั้งกรณีตามคดีนี้ก็เป็นการล่วงเลยเวลาสืบพยานโจทก์ไปแล้ว โดยโจทก์ไม่มีพยานมาสืบและศาลนัดสืบพยานจำเลยไปแล้ว ศาลชั้นต้นไม่ได้ดำเนินกระบวนพิจารณาผิดหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายประการใด เมื่อข้อเท็จจริงมีปรากฏอยู่ตามคำร้องของโจทก์ชัดแจ้งแล้วดังกล่าว ศาลชั้นต้นก็หาจำต้องไต่สวนคำร้องนั้นอีกไม่ กรณีตามคำร้องของโจทก์ดังกล่าวประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21 ก็ไม่ได้บังคับว่าศาลต้องไต่สวนก่อนมีคำสั่ง ทั้งไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 103 ดังที่ศาลอุทธรณ์อ้างเพราะไม่ใช่กรณีที่ศาลไม่ให้โอกาสเต็มที่แก่คู่ความในอันที่จะมาฟังการพิจารณาและใช้สิทธิเกี่ยวด้วยกระบวนพิจารณา จึงไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์จะใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(2) ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้วให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 21 ธันวาคม 2515 เสียก่อน ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น