แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยที่ 4และที่ 5 อ้างว่าเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มาพบโจทก์และพูดขอแบ่งที่ดินพิพาทจากโจทก์ แต่โจทก์ไม่ยินยอมต่อมาจำเลยที่ 2 สั่งการให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4และที่ 5 พร้อมกับเจ้าพนักงานตำรวจมาทำการรังวัดที่ดินพิพาทเป็นการแย่งสิทธิครอบครองโดยพลการ โจทก์เกรงกลัวอันตรายขอให้ห้ามจำเลยทั้งห้าและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งห้าได้เข้าไปแย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์ ถือไม่ได้ว่าโจทก์ถูกจำเลยทั้งห้ารบกวนการครอบครองที่จะเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งห้า เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยได้มาก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน กล่าวคือ บุพการีของโจทก์ทั้งสี่ได้บุกเบิกจับจองเข้าทำประโยชน์ยึดถือเป็นของตนเองติดต่อกันจนถึงปัจจุบัน จำเลยที่ 1 เป็นช่างรังวัดที่ดิน สำนักงานที่ดินอำเภอขุขันธ์และเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินอำเภอขุขันธ์ เป็นผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการและรับผิดชอบเกี่ยวกับที่ดินสาธารณประโยชน์ซึ่งประชาชนใช้ร่วมกันจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นปลัดอำเภอประจำอยู่ที่แผนกปกครองที่ว่าการอำเภอขุขันธ์ จำเลยที่ 4 เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4ตำบลปรือใหญ่ อำเภอขุขันธ์ จำเลยที่ 5 เป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนบ้านมะขาม หมู่ที่ 4 ตำบลปรือใหญ่ เมื่อเดือนมิถุนายน 2535 จำเลยที่ 4 และที่ 5 อ้างว่าเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ไปพบโจทก์ทั้งสี่และพูดขอแบ่งที่พิพาทจากโจทก์ทั้งสี่ ถ้าตกลง พวกจำเลยจะช่วยเหลือเรื่องการเงินและเร่งรัดให้มีการออกโฉนดที่ดินในที่พิพาทโดยเร็ว แต่โจทก์ทั้งสี่ไม่ยอมแบ่งให้เพราะที่ดินของโจทก์แต่ละคนมีเนื้อที่เพียงเล็กน้อยและไม่พอทำกิน ต่อมาโจทก์ที่ 3 และที่ 4 ไปพบจำเลยที่ 1ที่สำนักงานที่ดินอำเภอขุขันธ์เพื่อติดต่อขอรังวัดออกโฉนดที่ดินแต่จำเลยที่ 1 พูดว่า เมื่อโจทก์ไม่ยอมแบ่งที่ดินให้แก้จะขอรังวัดออกโฉนดที่ดินพิพาทไม่ได้ ต่อมาจำเลยที่ 2 มีหนังสือแจ้งให้พวกโจทก์ทราบว่าพวกโจทก์บุกรุกที่พิพาทซึ่งเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์และนัดให้พวกโจทก์ไปพบกรรมการตรวจสอบ โจทก์ทั้งสี่ได้ไปพบและชี้แจงให้ทราบว่าพวกโจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทมานานไม่เคยมีบุคคลใดกล่าวอ้างว่าเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์มาก่อน พวกจำเลยไม่ยอมฟังคำชี้แจงของพวกโจทก์และได้ทำการรังวัดที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นการรบกวนการครอบครองที่พิพาทของพวกโจทก์เพื่อแย่งสิทธิครอบครองที่ดินของพวกโจทก์ ทำให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหายขอให้บังคับห้ามมิให้จำเลยทั้งห้าและบริวารเข้าเกี่ยวข้องอันเป็นการรบกวนและแย่งสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทของโจทก์ทั้งสี่ต่อไป
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสี่ได้บรรยายฟ้องใจความว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยบุพการีของโจทก์ทั้งสี่เข้าบุกเบิกจับจองก่นสร้างแล้วเข้าทำนาในที่ดินพิพาทเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาหลายสิบปี โดยโจทก์ทั้งสี่ไม่เคยสละละทิ้งที่ดินพิพาท เมื่อเดือนมิถุนายน 2535 จำเลยที่ 4 และที่ 5อ้างว่าเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มาพบโจทก์ทั้งสี่และพูดขอแบ่งที่ดินพิพาทจากโจทก์ทั้งสี่ แต่โจทก์ทั้งสี่ไม่ยินยอมต่อมาจำเลยที่ 2 สั่งการให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5พร้อมกับเจ้าพนักงานตำรวจมาทำการรังวัดอาณาเขตที่ดินพิพาทของโจทก์ทั้งสี่ ซึ่งโจทก์ทั้งสี่กับบริวารไม่กล้าเข้าไปใกล้เพราะกลัวเกิดอันตราย การกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตต้องการจะเอาที่ดินเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยกับพวกเป็นการแย่งสิทธิครอบครองของโจทก์ทั้งห้าโดยพลการ และไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทั้งห้ารู้สึกเกรงกลัวอันตรายและไม่มีอำนาจจะบังคับห้ามจำเลยทั้งห้าได้ ขอให้บังคับห้ามจำเลยทั้งห้าและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้อง อันเป็นการกระทำรบกวนและแย่งสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทของโจทก์ทั้งสี่ต่อไป เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสี่ดังกล่าวไม่มีข้อความตอนใดที่แสดงว่าจำเลยทั้งห้าได้เข้าไปครองครองที่ดินพิพาทอันเป็นการแย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์แล้ว คงบรรยายแต่ว่าจำเลยที่ 4 ที่ 5 มาขอแบ่งที่ดินพิพาทจากโจทก์ทั้งสี่ แต่โจทก์ทั้งสี่ไม่ยินยอมให้และการที่จำเลยทั้งห้ากับพวกมารังวัดสอบเขตที่ดินพิพาทก็เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายไม่ถือว่าโจทก์ทั้งสี่ถูกจำเลยทั้งห้ารบกวนในการครอบครองที่ดินพิพาทแต่อย่างใด ดังนั้น ข้อหาตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสี่ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งห้ากระทำการอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ โจทก์ทั้งสี่จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งห้าประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246, 247 ส่วนประเด็นข้ออื่นตามฎีกาของโจทก์ที่ 4 นั้นไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย
พิพากษายืน