คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1305/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยพูดโต้เถียงกับผู้ตายอันเป็นทำนองท้าทายผู้ตายแสดงว่าจำเลยสมัครใจจะทะเลาะวิวาทกับผู้ตาย เมื่อจำเลยยิงผู้ตายถึงแก่ความตายจึงไม่สามารถอ้างว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้ การลดมาตราส่วนโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 เป็นการลดมาตราส่วนโทษเพราะเหตุอายุของผู้กระทำผิด เมื่อศาลใช้ดุลพินิจลดมาตราส่วนโทษให้แก่จำเลยแล้วก็จำต้องลดให้ทุกกระทงความผิดแม้ว่าความผิดฐานมีอาวุธปืนจะยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ตามแต่ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อแรก ข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,91, 33 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 และริบอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ปฏิเสธข้อหาฆ่าผู้อื่น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคแรกการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาให้จำคุก 18 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 12 ปี ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองให้จำคุก 1 ปี จำเลยรับสารภาพในชั้นจับกุม ชั้นสอบสวน และชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน รวมสองกระทงให้จำคุก 12 ปี 6 เดือนริบอาวุธปืนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 1 นัดกระสุนปืนถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ได้ความจากคำเบิกความของนางฉวีวรรณพยานโจทก์ว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายบอกให้นางละม่อมมารดาจำเลยมาช่วยตัดต้นไม้ไปถูกสายไฟฟ้านางละม่อมไม่ไปช่วยตัด และพูดว่าใครอยากตัดก็ตัดไป ผู้ตายพูดว่าทำไมพูดอย่างนั้น ขณะนั้นจำเลยกลับมาพอดี จำเลยพูดว่าใครอยากตัดก็ตัดไป ผู้จายพูดกับจำเลยว่า อย่าพูดจองหองให้ฟังผู้ใหญ่เขาพูดกันก่อน และบอกจำเลยว่าต้นไผ่ที่ขึ้นอยู่ที่หน้าบ้านของจำเลยนั้นช่างไฟฟ้าก็จะตัดให้หมด จำเลยพูดว่าตัดก็ตัดไปจะได้ไม่มีคนมาขอผู้ตายพูดว่าอย่าจองหองนัก ประเดี๋ยวจะเอาขวานฟันหัว จำเลยตอบว่าถ้าฟันก็จะยิงด้วยปืน ผู้ตายพูดว่ามึงจะเอาจริง ๆ หรือ จำเลยตอบว่าถ้าเข้ามาก็จะยิงจริง ๆ ผู้ตายถือขวานเดินเข้าไปหาจำเลย จำเลยหยิบอาวุธปืนแก๊ปยาวยิงผู้ตาย 1 นัด เห็นว่า นางฉวีวรรณเป็นประจักษ์พยานโจทก์ซึ่งจำเลยนำสืบรับว่าอยู่ในที่เกิดเหตุขณะเกิดเหตุจริง นางฉวีวรรณเบิกความถึงเหตุการณ์ก่อนเกิดเหตุโดยละเอียด แม้ข้อความนั้นเป็นผลร้ายต่อฝ่ายผู้ตายซึ่งเป็นสามีของตน เช่น ผู้ตายพูดว่าจะเอาขวานฟันหัวจำเลย หรือผู้ตายเป็นฝ่ายถือขวานเดินเข้าหาจำเลยก่อน แสดงให้เห็นว่านางฉวีวรรณเบิกความตรงไปตรงมาตามข้อเท็จจริงที่ตนรู้เห็น มิได้มีลักษณะปรักปรำจำเลย ทั้งในชั้นสอบสวนนางฉวีวรรณก็ได้ให้การเช่นเดียวกันนี้คำเบิกความของนางฉวีวรรณพยานโจทก์จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือส่วนจำเลยเบิกความว่า เมื่อผู้ตายพูดว่าจะเอาขวานฟันหัว จำเลยเอาเสื้อกลับไปแขวนไว้ ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาทางด้านหลังจำเลยหันไปเห็นผู้ตายเงื้อขวานจะฟันจำเลย จำเลยจึงหยิบอาวุธปืนแก๊ปยาวที่วางอยู่บริเวณบ้าน ผู้ตายปัดอาวุธปืน จำเลยจึงยิงผู้ตาย 1 นัด แต่นางละม่อม อาจเอื้อม มารดาจำเลยมาเบิกความเป็นพยานจำเลยว่า ผู้ตายพูดว่า ไอ้ห่ากูจะฟันหัวมึง แล้วผู้ตายชูขวานขึ้นเดินเร็ว ๆ เพื่อฟันจำเลย จำเลยตกใจและพูดว่าอย่าเข้ามา จำเลยเดินไปติดฝาบ้านแล้วหยิบอาวุธปืนแก๊ปยาวออกมากระแทกถูกตัวผู้ตายและร้องว่า อย่าเข้ามา ผู้ตายใช้มือซ้ายปัดปากกระบอกปืน อาวุธปืนจึงลั่นขึ้น 1 นัด ซึ่งแตกต่างจากคำเบิกความของจำเลย ทางนำสืบของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังตามข้อต่อสู้ของจำเลย การที่จำเลยพูดโต้เถียงกับผู้ตาย เมื่อผู้ตายพูดว่าจะใช้ขวานฟันจำเลย จำเลยก็ตอบว่า ถ้าผู้ตายใช้ขวานฟันจำเลยก็จะยิงด้วยอาวุธปืน อันเป็นทำนองท้าทายผู้ตาย แสดงว่าจำเลยสมัครใจจะทะเลาะวิวาทกับผู้ตาย การที่จำเลยยิงผู้ตายถึงแก่ความตายจึงไม่สามารถอ้างว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่ศาลฎีกาเห็นว่า ขณะกระทำผิดจำเลยอายุ 18 ปี สมควรลดมาตราส่วนให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 76 ซึ่งการลดมาตราส่วนโทษตามมาตรา 76 นี้ เป็นการลดมาตราส่วนโทษเพราะเหตุอายุของผู้กระทำความผิด เมื่อศาลใช้ดุลพินิจลดมาตราส่วนโทษให้แก่จำเลยแล้วก็จำต้องลดให้ทุกกระทงความผิดแม้ว่าคดีนี้ความผิดฐานมีอาวุธปืนจะยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ตาม แต่ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 อีกกระทงหนึ่ง จำเลยอายุ 18 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 แล้ว วางโทษจำคุก 10 ปีทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสามตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคแรกตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นอีกกระทงหนึ่ง ลดมาตราส่วนให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 แล้ว วางโทษจำคุก 8 เดือนจำเลยรับสารภาพในชั้นจับกุม สอบสวน และพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 4 เดือน รวมสองกระทง จำคุก 7 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share