คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1305/2479

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การรับผิดฐานแสดงตนเป็นหุ้นส่วนด้วยนั้น จะต้องรับผิดฉะเพาะต่อผู้ที่หลงเข้าใจว่าผู้นั้นเป็นหุ้นส่วน ประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง ม.145 ผลของคำพิพากษาในคดีอื่นที่ไม่มัดจำเลยในคดีนี้

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้ง ๓ รับผิดร่วมกันโดยกล่าวว่าจำเลยทั้ง ๓ เป็นหุ้นส่วนอยู่ในห้างยนตร์พาณิชย์ (ชุนฮะไถ่+) ซึ่งเป็นสาขาของยี่ห้อชุ่นฮะไถ่ตามคำพิพากษาอุทธรณ์แลฎีกาในคดีดำที่ ๗๑-๗๙๖/๒๔๗๖ คดีแดงที่ ๒-๓๘/๒๔๗๗ โดยห้างยนตร์พาณิชย์ได้ซื้อเชื่อรถยนตร์ฟอร์ดแลเครื่องอาไหล่ไปรวมเป็นเงิน ๒๑๖๓๙ บาท ๘๑ สตางค์ จึงขอให้จำเลยทั้ง ๓ ใช้เงินแก่โจทก์
ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ ๑ นั้นเป็นบิดาจำเลยที่ ๒ แลเป็นเจ้าของยี่ห้อชุ่นฮะไถ่จำเลยที่ ๓ บริษัทโจทก์ได้ตั้งจำเลยที่ ๒ เป็นสาขาเอเยนต์รถฟอร์ดที่ปากน้ำโพ แลเวลานั้นห้างยนตร์พาณิชย์ยังไม่ได้ตั้งขึ้น ต่อมาจำเลยที่ ๒ จึงได้เปิดร้านยนตรพาณิชย์ขึ้น แลมีอักษรจีนด้วยว่า “ชุ่นฮะไถ่ดีเชีย” จำเลยที่ ๒ ได้ซื้อเชื่อรถยนตร์และเครื่องอาไหล่จากโจทก์ไป ภายหลังโจทก์ได้ทำสัญญาตกลงหนี้กับจำเลยที่ ๒ ผู้เดียว ให้ผ่อนส่งเงินเป็นงวด ๆ แต่แล้วจำเลยที่ ๒ ก็ผิดสัญญา อนึ่งคำพิพากษาที่โจทก์อ้างนี้ก็มิได้ชี้ขาดว่าจำเลยที่ ๑-๒ เป็นหุ้นส่วนกันโดยในคำพิพากษาคดีที่ ๒-๓๘ พ.ศ.๒๔๗๗ ซึ่งบริษัทเอมมิชลินเป็นโจทก์ชี้ขาดว่า พฤตติการณ์ของจำเลยที่ ๑ ทำให้โจทก์ในคดีนั้นหลงเชื่อว่าห้างยนตร์พาณิชย์และยี่ห้อ+ฮะไถ่เป็นยี่ห้อเดียวกัน จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าของยี่ห้อซุ่นฮะไถ่จึงต้องรับผิดด้วยเท่านั้น
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์สืบให้ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้แสดงออกให้โจทก์หลงเชื่อจำเลยที่ ๑ เป็นหุ้นส่วนกับจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดตามประมวลแพ่งฯ มาตรา ๑๐๕๔ ส่วนคำพิพากษาที่โจทก์อ้างเป็นคนละเรื่องแลต่างโจทก์กันจึงพิพากษายืนตามศาลล่างที่วินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑-๓ ไม่ต้องรับผิดแทนจำเลยที่ ๒ ด้วย คงให้จำเลยที่ ๒ ใช้เงิน ๒๑๖๓๙ บาท ๘๑ สตางค์แก่โจทก์แต่ผู้เดียว

Share