คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1303/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ฟ้องเรียกเงินกู้ตามสัญญากู้เมื่อฟังได้ว่าจำเลยไม่ได้กู้เงินโจทก์ตามสัญญากู้นั้น ดังนี้ต้องยกฟ้องโจทก์ จะพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ที่จำเลยกู้เงินโจทก์ตามสัญญากู้ฉบับอื่นไม่ได้ขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 142.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยให้ชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 55,125 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ชำระหนี้แก่โจทก์เสร็จสิ้นแล้ว โจทก์กรอกข้อความต่อเติมข้อความในเอกสารโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลย จึงเป็นเอกสารปลอม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันมีว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์จำนวน 20,000 บาท ซึ่งโจทก์ก็นำสืบรับว่าการกู้เงินดังกล่าวเป็นคนละคราวกับการกู้เงินตามฟ้องโดยสัญญากู้เงินจำนวน 20,000 บาท ทำที่บ้านนายประจวบ ชุ่มชื่นมีนายพิน ค้ำชู เป็นพยาน ส่วนสัญญากู้ตามฟ้องเอกสารหมาย จ.1มีนายบุญมา เกิดชัย และนายสันต์ สาระพิษ เป็นพยาน ข้อเท็จจริงจึงเห็นได้ชัดว่า การฟ้องเรียกเงินกู้ตามเอกสารหมาย จ.1 มิใช่เป็นการฟ้องตามสัญญากู้ที่จำเลยกู้เงินโจทก์ไป จำนวน 20,000 บาทเมื่อฟังได้ว่าจำเลยมิได้กู้เงินโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 ศาลต้องยกฟ้องโจทก์จะพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ที่จำเลยกู้เงินโจทก์ตามสัญญากู้ฉบับอื่นไม่ได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142…”
พิพากษายืน.

Share