คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8700/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและต่อมาขอสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์ โดยโจทก์และจำเลยตกลงเงื่อนไขการชำระหนี้จากการใช้บัตรเครดิตว่า เมื่อโจทก์จ่ายเงินให้แก่ผู้เรียกเก็บเงินจากการใช้บัตรเครดิตของจำเลยแล้ว จำเลยจะต้องใช้เงินที่โจทก์จ่ายแทนไปดังกล่าวโดยวิธีการให้โจทก์หักทอนชำระจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน และต่อมาจำเลยได้ใช้บัตรเครดิตชำระค่าสินค้าและค่าบริการต่าง ๆ ตลอดจนเบิกเงินสดตามข้อตกลงในสัญญาการใช้บัตรเครดิตของโจทก์ แล้วจำเลยส่งเงินชำระหนี้ให้โจทก์ไม่ครบจำนวน แต่เมื่อปรากฏว่าจำเลยคงเป็นหนี้โจทก์เฉพาะที่ใช้บัตรเครดิต การที่จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้และยอมให้โจทก์หักเงินที่โจทก์จ่ายแทนจำเลยไปจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันดังกล่าว ตามพฤติการณ์ระหว่างโจทก์จำเลยดังกล่าวจึงไม่ใช่บัญชีเดินสะพัด เป็นแต่เพียงข้อตกลงในการชำระหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตเท่านั้น และเมื่อตามสัญญาและเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตของโจทก์ จำเลยต้องเสียค่าธรรมเนียมในการออกบัตรเครดิต และจำเลยสามารถนำบัตรเครดิตไปซื้อสินค้าจากร้านค้าที่ตกลงรับบัตรเครดิตของโจทก์โดยไม่ต้องชำระเงินสด เมื่อร้านค้าเรียกเก็บเงิน โจทก์จะเป็นผู้ชำระเงินแทนจำเลย แล้วจึงเรียกเก็บเงินจากจำเลยภายหลัง จึงเป็นการที่โจทก์ผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆ เรียกเอาเงินที่โจทก์ได้ออกทดรองไป สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (7) มิใช่สิทธิเรียกร้องตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดอันมีอายุความ 10 ปี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 144,336.56 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี จากต้นเงิน 103,747.98 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตขวัญนครและบัตรเครดิตวีซ่าของโจทก์ และได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับโจทก์จริง แต่การใช้บัตรจะต้องมีใบรายการซื้อสินค้าและบริการที่ลงลายมือชื่อจำเลยเป็นหลักฐานในการเรียกเก็บเงินจากจำเลย แสดงว่าจำเลยมิได้นำบัตรไปใช้ในการชำระหนี้ค่าสินค้าและบริการ และโจทก์มิได้ชำระเงินให้แก่ร้านค้าแทนจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธินำหนี้อันเกิดจากบัตรเครดิตมาไว้ในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเพื่อคิดดอกเบี้ยทบต้นและฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 124,704.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี ของต้นเงิน 103,747.98 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องชำระเงินจำนวน 124,704.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาเป็นการวินิจฉัยผิดไปจากพยานหลักฐานในสำนวน ผิดต่อกฎหมาย ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงใหม่ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 238 , 243 (3) ประกอบมาตรา 247 เป็นว่า หนี้ตามที่ปรากฏในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันมีหนี้ที่เกิดจากการใช้เช็ครวมอยู่ด้วยเป็นต้นเงิน 9,920.43 บาท เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2535 แต่อย่างไรก็ตามปรากฏว่าเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2535 และวันที่ 24 มิถุนายน 2535 จำเลยได้นำเงินเข้าบัญชีชำระหนี้จำนวน 5,500 บาท และ 10,000 บาท ซึ่งแม้ในขณะนั้นนอกจากหนี้ที่เกิดจากการใช้เช็คดังกล่าวแล้ว ในวันที่ 5 มิถุนายน 2535 จำเลยยังเป็นหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตวีซ่าและบัตรเครดิตขวัญนครอยู่ด้วยจำนวน 10,926 บาท และ 14,436.75 บาท ตามลำดับ และจำนวนเงินที่จำเลยชำระไม่เพียงพอชำระหนี้โจทก์ทุกจำนวน แต่การที่จำเลยชำระหนี้โดยการนำเงินเข้าบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน ซึ่งโดยปกติย่อมผูกพันเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้กันโดยการใช้เช็คเบิกเงินจากบัญชี มิได้ชำระหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตโดยตรงอย่างเช่นที่ปรากฏในใบแจ้งรายการบัตรเครดิตเอกสารหมาย จ. 14 รายการวันที่ 7 กันยายน 2535 จึงต้องถือว่าจำเลยได้ระบุว่าเงินที่ชำระนั้นเป็นการชำระหนี้ที่เกิดจากการใช้เช็ค หนี้ที่เกิดจากการใช้เช็คจึงเป็นอันได้เปลื้องไปทั้งหมดก่อนแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 328 วรรคหนึ่ง กรณีมูลหนี้ที่เหลือทั้งหมดตามที่โจทก์ฎีกาจึงเกิดจากหนี้การใช้บัตรเครดิตขวัญนครและบัตรเครดิตวีซ่าซื้อสินค้าและบริการของจำเลย
จากข้อเท็จจริงที่ฟังมา ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและต่อมาขอสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์ โดยโจทก์และจำเลยตกลงเงื่อนไขการชำระหนี้จากการใช้บัตรเครดิตว่า เมื่อโจทก์จ่ายเงินให้แก่ผู้เรียกเก็บเงินจากการใช้บัตรเครดิตของจำเลยแล้ว จำเลยจะต้องใช้เงินที่โจทก์จ่ายแทนไปดังกล่าวโดยวิธีการให้โจทก์หักทอนชำระจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน และต่อมาจำเลยได้ใช้บัตรเครดิตชำระค่าสินค้าและค่าบริการต่าง ๆ ตลอดจนเบิกเงินสดตามข้อตกลงในสัญญาการใช้บัตรเครดิตของโจทก์ แล้วจำเลยส่งเงินชำระหนี้ให้โจทก์ไม่ครบจำนวน แต่เมื่อปรากฏว่าจำเลยคงเป็นหนี้โจทก์เฉพาะที่ใช้บัตรเครดิต การที่จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้และยอมให้โจทก์หักเงินที่โจทก์จ่ายแทนจำเลยไปจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันดังกล่าว ตามพฤติการณ์ระหว่างโจทก์จำเลยดังกล่าวจึงไม่ใช่บัญชีเดินสะพัด เป็นแต่เพียงข้อตกลงในการชำระหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตเท่านั้น และเมื่อตามสัญญาและเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตของโจทก์ จำเลยต้องเสียค่าธรรมเนียมในการออกบัตรเครดิต และจำเลยสามารถนำบัตรเครดิตไปซื้อสินค้าจากร้านค้าที่ตกลงรับบัตรเครดิตของโจทก์โดยไม่ต้องชำระเงินสด เมื่อร้านค้าเรียกเก็บเงิน โจทก์จะเป็นผู้ชำระเงินแทนจำเลยแล้วจึงเรียกเก็บเงินจากจำเลยภายหลัง จึงเป็นการที่โจทก์ผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆ เรียกเอาเงินที่โจทก์ได้ออกทดรองไป สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (7) มิใช่สิทธิเรียกร้องตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดอันมีอายุความ 10 ปี แต่อย่างใด เมื่อปรากฏว่าวิธีการชำระหนี้จากการใช้บัตรเครดิต โจทก์จะใช้วิธีหักทอนจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันมาชำระหนี้ และโจทก์ได้แจ้งการหักทอนบัญชีแก่จำเลยตามใบแจ้งรายการบัตรเครดิตเอกสารหมาย จ. 14 ครั้งสุดท้ายว่า โจทก์จะหักทอนบัญชีในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2535 เท่ากับกำหนดให้จำเลยชำระหนี้ในวันดังกล่าว เมื่อจำเลยไม่ชำระจึงเป็นการผิดนัดชำระหนี้ ดังนี้โจทก์ย่อมบังคับตามสิทธิเรียกร้องของตนได้ตั้งแต่นั้น โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2539 พ้นกำหนด 2 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความ
พิพากษายืน.

Share