คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การฎีกาคัดค้านการกำหนดประเด็นข้อพิพาทในการชี้สองสถานของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อโจทก์มิได้คัดค้านไว้ก็จะยกขึ้นมาอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ปัญหาว่าคำให้การของจำเลยขัดกันเอง เคลือบคลุมไม่ชัดแจ้ง ไม่มีประเด็นนำสืบหรือไม่ มิใช่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบิดาของนายเคน แสงพลสา จำเลยที่ 1เป็นภรรยาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายเคน จำเลยที่ 2 และที่ 3เป็นบุตรของนายเคนและจำเลยที่ 1 เมื่อปี 2520 นายเคนได้ลักลอบขอออก น.ส.3 ที่พิพาทซึ่งเป็นของโจทก์ที่ให้นายเคนอาศัยทำกินโดยแจ้งความเท็จต่อเจ้าหน้าที่ว่าเป็นที่นาที่โจทก์ยกให้ ต่อมา ปี2527 นายเคนถึงแก่ความตาย หลังจากนั้นจำเลยขออาศัยทำกิจต่อไปจนถึงเดือนเมษายน 2529 โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยทั้งสามอาศัยทำกินต่อไป จึงแจ้งให้จำเลยทั้งสามออกไปจากที่พิพาท จำเลยทั้งสามไม่ยอมออกไป ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองและเป็นเจ้าของที่พิพาท ห้ามจำเลยทั้งสามเข้าเกี่ยวข้อง น.ส.1ก. และ น.ส.3ก. สำหรับที่พิพาทเป็นโมฆะให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 20,000บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า เดิมที่พิพาทเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าที่โจทก์หวงกันไว้ ต่อมาในปี พ.ศ. 2490 จำเลยที่ 1 กับนายเคนสามีได้ร่วมกันครอบครองทำเป็นที่นา เมื่อนายเคนไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โจทก์ก็ทราบและมิได้คัดค้านที่พิพาทครึ่งหนึ่งเป็นมรดกของนายเคนซึ่งตกเป็นของจำเลยทั้งสามจำเลยทั้งสามได้ครอบครองที่พิพาทเพื่อตนมาเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่าในการชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทหรือไม่ โจทก์ฟ้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองในที่พิพาทภายใน 1 ปีนับแต่ถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ และโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสามหรือไม่เพียงใด โจทก์มิได้คัดค้านการกำหนดประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวของศาลชั้นต้นไว้ ที่โจทก์ฎีกาว่า คำให้การของจำเลยขัดกันเอง เคลือบคลุมไม่ชัดแจ้ง ไม่มีประเด็นนำสืบไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาความ เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องถือว่าจำเลยยอมรับแล้วว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์นั้น เห็นว่า เป็นการฎีกาคัดค้านการกำหนดประเด็นข้อพิพาทในการชี้สองสถานของศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อโจทก์มิได้คัดค้านไว้ก็จะยกขึ้นมาอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ปัญหาว่าคำให้การของจำเลยขัดกันเอง เคลือบคลุม ไม่ชัดแจ้ง ไม่มีประเด็นนำสืบหรือไม่ มิใช่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน.

Share