คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12973/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และเจ้าของที่ดินเดิมใช้น้ำจากคลองชลประทานผ่านร่องน้ำในที่ดินของจำเลยที่ 1 ในการทำนามาเป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้วตั้งแต่ก่อนที่ดินเป็นของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 รู้ดี แสดงว่าจำเลยที่ 1 รู้อยู่แล้วว่าถ้าจำเลยที่ 1 กลบร่องน้ำในที่ดินของจำเลยที่ 1 เสีย ผลเสียหายย่อมเกิดขึ้นแก่การทำนาและเลี้ยงปลาของโจทก์อย่างแน่นอน ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 กลบร่องน้ำในที่ดินของจำเลยที่ 1 เพื่อ มิให้โจทก์ได้ใช้น้ำที่ไหลผ่านร่องน้ำนั้นในการทำนาและเลี้ยงปลาต่อไป ย่อมเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่น เป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 421 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 เปิดร่องน้ำนั้นเพื่อโจทก์จะได้ใช้น้ำที่ผ่านมาทางร่องน้ำนี้ทำนาและเลี้ยงปลาตามเดิมต่อไปได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งหกเปิดร่องน้ำในที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 9120 ตำบลอบทม อำเภอวิเศษไชยชาญ จังหวัดอ่างทอง ของจำเลยทั้งหกมีความกว้าง 1.50 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินของจำเลยทั้งหกด้านทิศตะวันตกเลียบทางสาธารณประโยชน์เป็นระยะทางประมาณ 50 เมตร และให้ร่องน้ำดังกล่าวตกเป็นทางจำเป็นและทางน้ำภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์โฉนดที่ดินเลขที่ 14685 ตำบลโพธิ์ม่วงพันธ์ (อบทม) อำเภอสามโก้ (วิเศษชัยชาญ) จังหวัดอ่างทอง และโฉนดที่ดินเลขที่ 4507 ตำบลอบทม อำเภอวิเศษไชยชาญ จังหวัดอ่างทอง โดยให้จำเลยทั้งหกไปจดทะเบียนภาระจำยอมต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอ่างทองให้ปรากฏสิทธิในโฉนดที่ดินของจำเลยทั้งหก หากจำเลยทั้งหกไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งหก กับให้จำเลยทั้งหกชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินเดือนละ 10,000 บาท จนกว่าจำเลยทั้งหกจะเปิดร่องน้ำในที่ดินของจำเลยทั้งหกให้โจทก์ใช้ได้ตามปกติ
จำเลยทั้งหกให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ศาลชั้นต้นอนุญาต และมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 เปิดร่องน้ำที่จำเลยที่ 1 ถมดินกลบร่องน้ำเดิมในโฉนดที่ดินเลขที่ 9120 ตำบลอบทม อำเภอวิเศษไชยชาญ จังหวัดอ่างทอง ของจำเลยที่ 1 ให้มีความกว้างและความลึกเท่ากับร่องน้ำที่เชื่อมต่อมาจากที่ดินซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับที่ดินของจำเลยที่ 1 แต่ความกว้างต้องไม่เกิน 1.50 เมตร ตามที่โจทก์ขอ ส่วนความยาวให้เท่ากับร่องน้ำเดิมที่จำเลยที่ 1 ถมดินกลบ คำขออื่นให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ต้องเปิดร่องน้ำในที่ดินของจำเลยที่ 1 หรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 เปิดร่องน้ำโดยอ้างว่าเป็นทางจำเป็นและตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าเป็นทางจำเป็นและภาระจำยอมก็ต้องพิพากษายกฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าเป็นเรื่องละเมิดก็ดี ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่าเป็นเรื่องน้ำไหลตามธรรมดาจากที่ดินสูงมายังที่ดินต่ำตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1339 ก็ดี เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และจำเลยที่ 1 มิได้ทำละเมิดต่อโจทก์นั้น เห็นว่า ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงข้อเท็จจริงโดยได้แสดงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นไว้ชัดเจนแล้วว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินได้รับความเสียหายเพราะจำเลยทั้งหกและบริวารนำต้นไม้และดินลูกรังมาถมกลบร่องน้ำในที่ดินของจำเลยทั้งหก ซึ่งเป็นร่องน้ำที่น้ำไหลจากลำรางสาธารณะผ่านมายังที่ดินของโจทก์ ที่โจทก์ใช้น้ำนั้นในการทำนาและเลี้ยงปลา อันการทำนาได้ทำต่อเนื่องมาตั้งแต่เจ้าของที่ดินเดิมเป็นระยะเวลา 50 ปี เป็นการบรรยายถึงสิทธิของโจทก์ที่จะใช้ร่องน้ำดังกล่าวได้ กับมีคำขอให้เปิดร่องน้ำนั้น ซึ่งในคดีแพ่งโจทก์ไม่จำเป็นต้องยกบทกฎหมายขึ้นกล่าวอ้าง เพียงแต่บรรยายข้อเท็จจริงและมีคำขอบังคับก็เป็นการเพียงพอแล้ว ส่วนบทกฎหมายใดจะใช้บังคับแก่คดีย่อมเป็นหน้าที่ของศาลที่จะยกมาปรับแก่คดีเอง ที่โจทก์บรรยายฟ้องด้วยว่าเป็นทางจำเป็นและตกเป็นภาระจำยอมก็เพียงเป็นความเข้าใจของโจทก์ เมื่อศาลเห็นว่าไม่ใช่เรื่องทางจำเป็นและภาระจำยอม แต่เป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกินไปกว่าหรือนอกจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำฟ้อง ศาลก็ยกบทกฎหมายเรื่องอื่นนั้นมาปรับแก่คดีได้ ไม่จำต้องพิพากษายกฟ้องดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกา แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่าเป็นเรื่องน้ำไหลตามธรรมดาจากที่ดินสูงมายังที่ดินต่ำตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1339 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงยังไม่ชัดว่าที่ดินของจำเลยที่ 1 อยู่สูงกว่าที่ดินของโจทก์ จึงไม่เข้าบทกฎหมายตามมาตรา 1339 แต่ข้อเท็จจริงได้ความชัดว่า โจทก์และเจ้าของที่ดินเดิมใช้น้ำจากคลองชลประทานผ่านร่องน้ำในที่ดินของจำเลยที่ 1 ในการทำนามาเป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้วตั้งแต่ก่อนที่ดินเป็นของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 รู้ดี แสดงว่าจำเลยที่ 1 รู้อยู่แล้วว่าถ้าจำเลยที่ 1 กลบร่องน้ำในที่ดินของจำเลยที่ 1 เสีย ผลเสียหายย่อมเกิดขึ้นแก่การทำนาและเลี้ยงปลาของโจทก์อย่างแน่นอน ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 กลบร่องน้ำในที่ดินของจำเลยที่ 1 เพื่อมิให้โจทก์ได้ใช้น้ำที่ไหลผ่านร่องน้ำนั้นในการทำนาและเลี้ยงปลาต่อไป ย่อมเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่น เป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 เปิดร่องน้ำนั้นเพื่อโจทก์จะได้ใช้น้ำที่ผ่านมาทางร่องน้ำนี้ทำนาและเลี้ยงปลาตามเดิมต่อไปได้ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ร่องน้ำที่จำเลยที่ 1 ปิดอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 แต่เดิมมาไม่มีบ้านของจำเลยที่ 1 อยู่ในที่ดินนี้ การที่มีร่องน้ำอยู่จึงไม่ทำให้เกิดความไม่สะดวกแก่การใช้ที่ดินมากนัก แต่ต่อมาจำเลยที่ 1 ปลูกบ้านลงในที่ดินนี้ การที่จะยังคงมีร่องน้ำอยู่ย่อมทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายและไม่สะดวกแก่การใช้ที่ดินเป็นอย่างมากดังจะเห็นได้ตามภาพถ่ายชั้นบังคับคดีตามสำนวนอันดับ 106 และคดีได้ความตามคำเบิกความของพยานทั้งสองฝ่ายว่า ก่อนฟ้องไม่กี่ปีฝ่ายโจทก์ใช้รถแบ็กโฮขุดร่องน้ำเฉพาะส่วนที่ผ่านที่ดินของฝ่ายจำเลยและฝ่ายโจทก์ แล้วนำท่อน้ำไปฝังและกลบเฉพาะร่องน้ำส่วนที่ผ่านที่ดินของฝ่ายโจทก์ หลังจากจำเลยที่ 1 กลบร่องน้ำแล้วโจทก์ยังเสนอขอให้โจทก์ฝังท่อน้ำผ่านที่ดินของจำเลยที่ 1 นอกจากนี้ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นให้สำนักงานที่ดินจังหวัดอ่างทองทำแผนที่วิวาท เพื่อใช้ไกล่เกลี่ย โจทก์ก็ยังเสนอฝังท่อน้ำโดยขอฝังท่อน้ำชิดแนวเขตที่ดินของจำเลยที่ 1 ด้านทิศตะวันตก ตามแผนที่วิวาท (สำนวนอันดับ 26) ศาลฎีกา เห็นว่า เพื่อความเป็นธรรมและเป็นการบรรเทาความเสียหายของจำเลยที่ 1 โดยที่โจทก์ยังคงได้ใช้น้ำจากคลองชลประทานผ่านที่ดินของจำเลยที่ 1 อยู่ดังเดิม สมควรกำหนดให้โจทก์ฝังท่อน้ำในที่ดินของจำเลยที่ 1 ขนาดของท่อน้ำเท่ากับท่อน้ำที่โจทก์ฝังในที่ดินของโจทก์ โดยให้ฝังชิดแนวเขตที่ดินของจำเลยที่ 1 ด้านทิศตะวันตกที่ติดกับทางสาธารณประโยชน์ตลอดแนวที่น้ำผ่านที่ดินของจำเลยที่ 1 และกลบให้เรียบร้อยด้วยค่าใช้จ่ายของโจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 เปิดร่องน้ำที่จำเลยที่ 1 ถมดินกลบร่องน้ำเดิมในที่ดินของจำเลยที่ 1 โฉนดที่ดินเลขที่ 9120 ตำบลอบทม อำเภอวิเศษไชยชาญ จังหวัดอ่างทอง แล้วให้โจทก์ฝังท่อน้ำในที่ดินของจำเลยที่ 1 ขนาดของท่อน้ำเท่ากับท่อน้ำที่โจทก์ฝังในที่ดินของโจทก์ โดยให้ฝังชิดแนวเขตที่ดินของจำเลยที่ 1 ด้านทิศตะวันตกที่ติดกับทางสาธารณประโยชน์ตลอดแนวที่น้ำผ่านที่ดินจำเลยที่ 1 ให้น้ำไหลผ่านท่อน้ำที่ฝังสู่ท่อน้ำในที่ดินของโจทก์ได้ และกลบร่องน้ำเดิมและกลบท่อน้ำที่ฝังให้เรียบร้อย ทั้งนี้ด้วยค่าใช้จ่ายของโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share