แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์และสามีโจทก์ซื้อ ที่ พิพาทซึ่ง มี น.ส. 3 จาก ก. โดยมิได้ ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่จึงตกเป็นโมฆะแต่ ที่ พิพาทเป็นที่ดินยังไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ ก.ผู้ขายมีแต่ สิทธิครอบครอง เมื่อได้ ส่งมอบที่พิพาทให้โจทก์และสามีโจทก์แล้ว ก. ก็สละเจตนาครอบครองไม่ยึดถือที่ดินพิพาทอีกต่อไป โจทก์และสามีโจทก์ย่อมได้ สิทธิครอบครอง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1371378 มิใช่ได้ ตาม สัญญาซื้อขายดังนี้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิบังคับให้ จำเลยซึ่ง เป็นทายาทของ ก. ไปจดทะเบียนการโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตาม สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับ ก. .
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายแก้ว พวงจำ ได้ขายที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 508ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์และนายนวลสามีโจทก์ในราคา 5,000 บาทในวันทำสัญญา นายแก้วได้ส่งมอบที่ดินพิพาทและ น.ส.3 ให้โจทก์ยึดถือครอบครองแล้ว ต่อมานายแก้วและนายนวลสามีโจทก์ได้ถึงแก่กรรมโจทก์ได้ไปติดต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ดิน อำเภอเมืองพะเยาขอโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นทายาทและผู้รับมรดกของนายแก้วแต่จำเลยทั้งสามปฏิเสธ โจทก์จึงมีหนังสือแจ้งให้จำเลยทั้งสามโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ จำเลยทั้งสามทราบแล้วก็เพิกเฉย จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสามจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม
จำเลยทั้งสามให้การว่า นายแก้ว พวงจำ ไม่ได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์และนายนวล ชอบจิต ความจริงนายแก้วกู้เงินนายนวลจำนวน 2,000 บาท แล้วมอบที่ดินพิพาทให้ทำกินต่างดอกเบี้ย จำเลยทั้งสามขอชำระหนี้และขอคืนที่ดินพิพาทแล้วแต่โจทก์ไม่ยอม การซื้อขายที่ดินไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทมาตามสัญญาซื้อขาย พิพากษาให้จำเลยทั้งสามไปโอนกรรมสิทธิ์ (น่าจะเป็นสิทธิครอบครอง) ที่ดินพิพาท ณ ที่ทำการอำเภอพะเยา ให้โจทก์ภายใน 15 วัน หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ระหว่างอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรม ศาลอุทธรณ์จึงให้จำหน่ายคดีจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 โอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามพยานโจทก์ว่าที่โจทก์และนายนวลสามีโจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทและยึดถือน.ส.3 นับแต่ปี พ.ศ. 2502 มาจนถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลากว่า 20 ปีเพราะนายแก้วขายให้แก่โจทก์และนายนวลแม้การซื้อขายที่ดินพิพาทจะมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะเป็นโมฆะ แต่เนื่องจากที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ยังไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ นายแก้วจึงมีแต่สิทธิครอบครอง การซื้อขายเมื่อได้ส่งมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์และนายนวลไปแล้ว ก็ฟังได้ว่านายแก้วได้สละเจตนาครอบครองไม่ยึดถือที่ดินพิพาทอีกต่อไป โจทก์และนายนวลย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377, 1378 แล้ว
ปัญหาคงเหลืออยู่ว่า โจทก์จะฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 2 และที่ 3ไปจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ได้หรือไม่เห็นว่า เมื่อคดีฟังได้ว่าโจทก์และนายนวลได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทมาด้วยการครอบครองตามกฎหมาย มิใช่เป็นการได้มาตามสัญญาซื้อขาย โจทก์จึงหามีสิทธิที่จะฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นทายาทของนายแก้วไปจดทะเบียนการโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามสัญญาซื้อขายได้ไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลของคำพิพากษาแต่ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไปโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ณ ที่ว่าการอำเภอพะเยา หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนานั้นเป็นการไม่ถูกต้องศาลฎีกาสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่บังคับให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไปจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.