คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1293/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาพิพากษาคดีเจ็ดสำนวนรวมกันเพราะเป็นคดีเกี่ยวพันกัน จึงลงโทษจำเลยได้ไม่เกินกำหนดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ซึ่งมีโทษจำคุกอย่างสูงห้าปีทั้งเจ็ดสำนวน และศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษฐานปลอมรอยตราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 251 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดมีโทษจำคุกอย่างสูงถึงเจ็ดปี โดยศาลอุทธรณ์กับศาลชั้นต้นกำหนดโทษจำคุกจำเลยไว้สำนวนละ 1 ปี 4 เดือน เมื่อรวมโทษที่โจทก์ฟ้องเจ็ดสำนวน เป็นจำคุกทั้งหมด 9 ปี 4 เดือนไม่เกินยี่สิบปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(2) จึงนับโทษจำคุกจำเลยต่อกันได้

ย่อยาว

คดีทั้งเจ็ดสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันมากับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 9144/2534 ของศาลชั้นต้น แต่คดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์ คงขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะเจ็ดสำนวนนี้
โจทก์ทั้งเจ็ดสำนวนฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 251, 252, 264, 265, 268, 83, 91 และขอให้นับโทษจำเลยต่อกันทั้งเจ็ดสำนวน
จำเลยทั้งเจ็ดสำนวนให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีทั้งเจ็ดสำนวนที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 83 ทั้งเจ็ดสำนวน ให้ลงโทษจำเลยจำคุกสำนวนละ 1 ปี 4 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก จำเลยแต่ละสำนวนต้องขังมาพอแก่โทษแล้วทั้งเจ็ดสำนวน จึงให้ปล่อยตัวไปทุกสำนวน
โจทก์ทั้งเจ็ดสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานปลอมรอยตราของเจ้าพนักงานอีกฐานหนึ่ง ลงโทษฐานปลอมรอยตราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 251 ซึ่งเป็นบทมีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งเจ็ดสำนวนฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีสำนวนแรกว่าจำเลยมีความผิดฐานปลอมรอยตราของเจ้าพนักงานอีกฐานหนึ่ง ให้ลงโทษฐานปลอมรอยตราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 251 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้นไม่ถูกต้อง เพราะคดีสำนวนแรกโจทก์ฟ้องเฉพาะความผิดเกี่ยวกับเอกสารเท่านั้น กรณีเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า ศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจไม่นับโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 9142/25349143/2534, 9144/2534, 9146/2534, 9147/2534 และ 9148/2534ของศาลชั้นต้นต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 9141/2534 ของศาลชั้นต้นเรียงตามลำดับไปชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีทั้งเจ็ดสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาพิพากษารวมกันเพราะเป็นคดีเกี่ยวพันกัน จึงลงโทษจำเลยได้ไม่เกินกำหนดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ซึ่งมีโทษจำคุกอย่างสูงห้าปีทั้งเจ็ดสำนวนและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษฐานปลอมรอยตราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 251 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด มีโทษจำคุกอย่างสูงถึงเจ็ดปี โดยศาลอุทธรณ์กับศาลชั้นต้นกำหนดโทษจำคุกจำเลยไว้สำนวนละ 1 ปี 4 เดือน เมื่อรวมโทษที่โจทก์ฟ้องเจ็ดสำนวนเป็นจำคุกทั้งหมด 9 ปี 4 เดือน ไม่เกินยี่สิบปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จึงนับโทษจำคุกจำเลยต่อกันได้
พิพากษาแก้เป็นว่า คดีสำนวนแรกจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 83 ให้นับโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 9142/2534, 9143/2534, 9144/2534, 9146/25349147/2534 และ 9148/2534 ของศาลชั้นต้นต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 9141/2534 ของศาลชั้นต้นเรียงตามลำดับไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์

Share