แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นข้าราชการอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของนายกเทศมนตรีเมืองเพชรบูรณ์และได้รับคำสั่งมอบหมายจากนายกเทศมนตรีให้ไปรับเงินจากศาลมามอบให้เทศบาล แม้จะไม่ใช่หน้าที่ตามตำแหน่งของจำเลยโดยตรง แต่เมื่อจำเลยได้รับมอบหมายให้จัดการแล้ว จำเลยจึงเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการเกี่ยวกับเงินที่ได้รับมอบหมายนั้น เมื่อจำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังเอาเงินนั้นเป็นของตนจำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์ที่ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่จัดการเป็นของตนโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นพนักงานของเทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ตำแหน่งนิติกร 4 ได้รับมอบอำนาจจากเทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ให้ไปรับเงินค่าธรรมเนียมในการยึดแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายจำนวน 35,000 บาท ซึ่งศาลจังหวัดเพชรบูรณ์สั่งคืนให้แก่เทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ได้ยักยอกเบียดบังเอาเงินจำนวน 35,000 บาทของเทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ไปเป็นประโยชน์ของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 157
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 ลงโทษจำคุก 5 ปี ทางต่อสู้ของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง ประกอบกับจำเลยนำเงินมาชดใช้คืนเทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ในเวลาอันรวดเร็วเป็นการบรรเทาผลร้ายมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี 4 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก ให้จำคุก 1 ปี หลังจากทำผิดแล้วจำเลยได้นำเงินที่ยักยอกไปคืนผู้เสียหายถือว่าจำเลยรู้สึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลย 8 เดือน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นข้าราชการเทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ตำแหน่งนิติกร 4 ได้รับมอบหมายจากนายกเทศมนตรีเมืองเพชรบูรณ์ให้ไปรับเงินค่าธรรมเนียมคืนจากศาลจังหวัดเพชรบูรณ์ 35,000 บาทจำเลยรับเงินจากศาลจังหวัดเพชรบูรณ์วันที่ 15 พฤษภาคม 2532มิได้นำส่งมอบให้นายกเทศมนตรีหรือเทศบาลในวันนั้น เมื่อนายกเทศมนตรีทวงถามจำเลยนำเงินคืนวันที่ 31 พฤษภาคม 2532 จำเลยไม่ได้ฎีกาข้อเท็จจริง จึงฟังได้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ต่อไปว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังเอาเงินดังกล่าวเป็นของตน ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าจำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 หรือไม่ เห็นว่าจำเลยเป็นข้าราชการอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของนายกเทศมนตรีเมืองเพชรบูรณ์และได้รับคำสั่งมอบหมายจากนายกเทศมนตรีให้ไปรับเงินจากศาลมามอบให้เทศบาลแม้จะไม่ใช่หน้าที่ตามตำแหน่งของจำเลยโดยตรง เมื่อจำเลยได้รับมอบหมายให้จัดการแล้ว จำเลยจึงเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการเกี่ยวกับเงินที่ได้รับมอบหมายนั้นเมื่อจำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังเอาเงินนั้นเป็นของตน จำเลยมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์ที่ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่จัดการเป็นของตนโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น