คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6805/2549

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ทั้งสามในคดีนี้ขอให้พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง น. เป็นคดีอุทลุม ขอให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทระหว่าง น. กับ ธ. โดย ธ. เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนศาลฎีกาพิพากษาให้ระงับการจดทะเบียน การแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนที่ดินพิพาท คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา คดีนี้ โจทก์ทั้งสามฟ้อง กรมที่ดินจำเลยที่ 1 อธิบดีกรมที่ดินจำเลยที่ 2 และเจ้าพนักงานที่ดินจำเลยที่ 3 ขอให้จดทะเบียนที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์ทั้งสาม โดย ธ. เข้ามาเป็นจำเลยร่วม คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ทั้งสามยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาไว้อีกตาม ป.วิ.พ. มาตรา 254 (3) กรณียังไม่มีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาดังกล่าวมาใช้ในคดีนี้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมประเภทกรรมสิทธิ์รวมเฉพาะส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 3083 ตำบลบางหลวงฝั่งใต้ อำเภอเมืองปทุมธานี (เชียงราก) จังหวัดปทุมธานี ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ในคดีหมายเลขแดงที่ 4484/2546 ให้แก่โจทก์ทั้งสาม
จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา นายธรรมนูญ ยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ระหว่างการพิจารณา โจทก์ทั้งสามยื่นคำร้องขอให้คุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาโดยขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งห้ามไม่ให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานีจดทะเบียนแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนในที่ดินพิพาทจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้โจทก์ทั้งสามใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,500 บาท แทนจำเลยทั้งสาม
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามว่า กรณีมีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาโดยการห้ามไม่ให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานีจดทะเบียนแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนที่ดินโฉนดเลขที่ 3083 ตำบลบางหลวงฝั่งใต้ อำเภอเมืองปทุมธานี (เชียงราก) จังหวัดปทุมธานี จนกว่าคดีนี้จะถึงที่สุดหรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์ทั้งสามมีคำขอท้ายฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมประเภทสิทธิ์รวมเฉพาะส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 3083 ดังกล่าว ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 4484/2536 ของศาลชั้นต้นให้แก่โจทก์ทั้งสาม และตามคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาลงวันที่ 6 มีนาคม 2545 ของโจทก์ทั้งสามระบุเหตุผลว่าภายหลังที่โจทก์ทั้งสามฟ้องคดีนี้แล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีหนังสือตามเอกสารหมาย จ. 13 ถึง จ. 17 ถึงโจทก์ทั้งสามว่า หากจะมีการจดทะเบียนพนักงานเจ้าหน้าที่ก็จะต้องจดทะเบียนให้แก่จำเลยร่วมในคดีนี้ แต่เมื่อศาลฎีกาตรวจดูเอกสารดังกล่าวแล้ว ปรากฏว่าเอกสารหมาย จ. 13 เป็นหนังสือเรื่องขอความเป็นธรรมที่โจทก์ที่ 1 มีไปถึงจำเลยที่ 1 เอกสารหมาย จ. 14 และ จ. 15 เป็นหนังสือบอกกล่าวของทนายโจทก์ทั้งสามที่มีไปถึงจำเลยที่ 1 ให้รีบดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินเฉพาะส่วนให้แก่โจทก์ทั้งสาม เอกสารหมาย จ. 16 เป็นหนังสือที่เจ้าพนักงานที่ดินแจ้งให้ทนายโจทก์ทั้งสามทราบว่าสำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานีได้มีหนังสือหารือไปยังจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมายเพื่อความถูกต้องในทางปฏิบัติและเอกสารหมาย จ. 17 เป็นหนังสือของจำเลยที่ 1 แจ้งให้ทนายโจทก์ทั้งสามทราบว่าจำเลยที่ 1 ได้พิจารณาหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมของโจทก์ที่ 1 และได้แจ้งผลการพิจารณาให้โจทก์ที่ 1 และจังหวัดปทุมธานีทราบแล้วตามหนังสือของจำเลยที่ 1 ที่แนบ ซึ่งมีสาระสำคัญว่าเกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 3083 นี้ คำพิพากษาของศาลชั้นต้นหมายเลขแดงที่ 4484/2536 (ถึงที่สุดแล้ว) กับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 168/2538 ต่างกล่าวถึงการปฏิบัติชำระหนี้ (การโอนที่ดิน) อันแบ่งแยกไม่ได้ ซึ่งขัดกัน หากจะมีการจดทะเบียน พนักงานเจ้าหน้าที่ก็จะต้องจดทะเบียนให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลที่สูงกว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 146 ไม่อาจจดทะเบียนให้แก่โจทก์ที่ 1 กับพวกตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นคดีหมายเลขแดงที่ 4484/2536 ได้ อย่างไรก็ตามโดยที่โจทก์ที่ 1 กับพวกได้ขออายัดที่ดินดังกล่าว และฟ้องคดีต่อศาลในประเด็นที่ขออายัด ซึ่งขณะนี้ยังไม่ปรากฏว่าคดีถึงที่สุดแล้ว ที่ดินดังกล่าวยังมีการอายัดอยู่จึงไม่สามารถจดทะเบียนให้แก่จำเลยร่วมกับพวกตามคำพิพากษาได้เช่นกัน ต้องรอผลการพิจารณาของศาลว่าคดีถึงที่สุดเป็นประการใดแล้วจึงจะดำเนินการตามควรแก่กรณีต่อไป หาได้มีข้อความว่า “หากจะมีการจดทะเบียนพนักงานเจ้าหน้าที่ก็จะต้องจดทะเบียนให้แก่จำเลยร่วมในคดีนี้” ดังที่โจทก์ทั้งสามระบุเหตุผลไว้ในคำร้องไม่ หากแต่หนังสือของจำเลยที่ 1 ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าโจทก์ที่ 1 กับพวกได้ขออายัดที่ดินดังกล่าว และฟ้องคดีต่อศาลในประเด็นที่ขออายัด และเมื่อยังมีการอายัดอยู่เจ้าพนักงานที่ดินก็ไม่สามารถจดทะเบียนให้แก่จำเลยร่วมกับพวกตามคำพิพากษาได้ ต้องรอผลของคดีที่เป็นที่สุดก่อน อันแสดงว่าเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานีต้องระงับการจดทะเบียนเกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 3083 ไว้อยู่แล้ว และข้อเท็จจริงปรากฏในสำนวนว่าเกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 3083 นี้ มีคดีฟ้องร้องกันอยู่รวม 4 คดี ถึงที่สุดไปแล้ว 2 คดี คือ คดีหมายเลขแดงที่ 4484/2536 ของศาลชั้นต้น พนักงานอัยการโจทก์ นางนารี ส้มเกลี้ยง จำเลย และคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 168/2538 ระหว่าง นายธรรมนูญ วัฒนธำรงค์ (จำเลยร่วมคดีนี้) โจทก์ นางนารี ส้มเกลี้ยง ที่ 1 นางดาวรุ่ง ชะระอ่ำ ที่ 2 จำเลย และคดีที่ยังไม่ถึงที่สุด 2 คดี คือ คดีหมายเลขแดงที่ 23736/2541 ของศาลชั้นต้น ระหว่าง พนักงานอัยการโจทก์ นางนารี ส้มเกลี้ยง จำเลย นายธรรมนูญ วัฒนธำรงค์ (จำเลยร่วมคดีนี้) จำเลยร่วม ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาโดยเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานียังคงระงับการจดทะเบียนเกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 3083 ไว้อยู่แล้ว ตามหนังสือของจำเลยที่ 1 และอีกคดีหนึ่งคือ คดีนี้ซึ่งคดีหลักยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น กรณียังไม่มีเหตุจำเป็นหรือไม่เป็นที่เกรงว่าจำเลยทั้งสามจะดำเนินการให้มีการจดทะเบียนแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสาม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 255 (3) จึงไม่มีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาโดยการห้ามไม่ให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานีจดทะเบียนหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน ที่ดินโฉนดเลขที่ 3083 ตำบลบางหลวงฝั่งใต้ อำเภอเมืองปทุมธานี (เชียงราก) จังหวัดปทุมธานี จนกว่าคดีนี้จะถึงที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254 (3) ได้ ฎีกาของโจทก์ทั้งสามฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ.

Share