แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ควบคุมดูแลเรือ ว. ทองทะเล 4 ที่เกิดเหตุของจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 4 เป็นผู้เช่าบ้านให้จำเลยที่ 1พักรวมกับคนงานอื่น ๆ จัดรถยนต์รับส่งระหว่างบ้านพักกับสะพานที่เกิดเหตุที่ถูกเรือดังกล่าวชนเพื่อให้จำเลยที่ 1 กับคนงานอื่น ๆลงเรือดังกล่าวไปทำงานกู้ตัดเหล็กซากเรือใหญ่ที่อับปางซึ่งเป็นกิจการของจำเลยที่ 4 ทุกวัน และเป็นผู้เปิดบัญชีธนาคารให้จำเลยที่ 1 เบิกเป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานดังกล่าว ทั้งภริยาจำเลยที่ 1ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 4 ให้เป็นผู้ควบคุมการเบิกจ่ายค่าแรงและจัดการเรื่องอาหารทุกมื้อให้แก่คนงานทั้งหมดของจำเลยที่ 4 และได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ไปติดต่อขอรับเรือของจำเลยที่ 4 คืนจากเจ้าพนักงานตำรวจหลังเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ยังได้ใช้เรือของจำเลยที่ 4 ที่ตนควบคุมอยู่ทำการช่วยเหลือกู้เรือชาวประมงตามพฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างควบคุมเรือ ว. ทองทะเล 4กระทำกิจการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 4 ขณะเกิดเหตุเป็นฤดูมรสุม จำเลยที่ 1 มีอาชีพกู้เรือมานาน20 ปี ย่อมรู้ดีว่าการจอดเรือ ว. ทองทะเล 4 ในบริเวณที่ไม่มีที่กำบังลมเพื่อกู้ตัดเหล็กซากเรือใหญ่ที่อับปางอาจถูกลมพายุพัดหลุดลอยได้ง่าย การจัดการป้องกันด้วยการนำเรือไปหลบหาที่กำบังพายุก็สามารถกระทำได้ทันเพราะมีประกาศเตือนทางวิทยุให้รู้ว่าจะเกิดพายุล่วงหน้าติด ๆ กันทุกชั่วโมงตั้งแต่หัวค่ำของคืนก่อนวันเกิดเหตุ เมื่อจำเลยที่ 1 อาจป้องกันไม่ให้เรือถูกพายุได้แต่ไม่จัดการป้องกัน เป็นเหตุให้เรือ ว. ทองทะเล 4 ถูกพายุพัดหลุดลอยไปชนสะพานของโจทก์ จึงเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย อายุความเป็นระยะเวลาอย่างหนึ่ง เมื่อวันสุดท้ายแห่งอายุความคือวันที่ 23 ตุลาคม 2522 เป็นวันหยุดก็ต้องนับวันที่เริ่มทำงานใหม่เข้าด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 161 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2522 จึงไม่ขาดอายุความ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ควบคุมเรือ ว.ทองทะเล 4 ทำการกู้และตัดเหล็กซากเรืออับปางในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4หน้าที่ทำการโรงงานห้องเย็นของโจทก์โดยประมาท เป็นเหตุให้เรือถูกกระแสน้ำพัดไปชนสะพานท่าเทียบเรือของโจทก์หักพังเสียหายขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน 1,893,278 บาทพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ขณะเกิดเหตุเรือ ว.ทองทะเล 4 เสียจอดซ่อมอยู่ในที่กำบังลมปลอดภัยดีแล้ว แต่ถูกลมมรสุมพัดหลุดลอยไปชนสะพานของโจทก์โดยเหตุสถดวิสัย สะพานของโจทก์เก่าใช้การไม่ได้ โจทก์จึงไม่เสียหาย ฟ้องเคลือบคลุมและคดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย647,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 3
จำเลยที่ 1 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันชำระค่าเสียหายจำนวน 400,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นเจ้าของโรงงานห้องเย็นปากอ่าวแม่น้ำชุมพร จำเลยที่ 4 เป็นเจ้าของเรือว.ทองทะเล 4 เมื่อเดือนกรกฎาคม 2521 เรือ ว.ทองทะเบ 4 กับเรือว.ทองทะเล 1 และเรือ ว.ทองทะเล 3 ได้ไปกู้ตัดเหล็กซากเรือใหญ่ที่อับปางใกล้กับเกาะจระเข้ แล้วนำมาจอดทอดสมอตัดย่อยออกเป็นเศษเหล็กเพื่อขายที่ท้องทะเลระหว่างหน้าโรงงานห้องเย็นของโจทก์กับเกาะเสม็ด ห่างสะพานท่าเทียบเรือหน้าโรงงานห้องเย็นของโจทก์ประมาณ 1 กิโลเมตร วันเกิดเหตุเรือ ว.ทองทะเล 4 ถูกพายุพัดหลุดลอยเข้ามาชนสะพานของโจทก์เมื่อเวลาประมาณ 17 นาฬิกา สะพานของโจทก์หักพังลง 2 ช่วง ยาวประมาณ 88 เมตร เกิดเหตุแล้วประมาณ 10 วัน จำเลยที่ 1 ได้ติดต่อขอรับเรือ ว.ทองทะเล 4จากร้อยตำรวจเอกทรงศักดิ์ ไพรัตน์ หัวหน้าสถานีตำรวจภูธรปากน้ำชุมพรไปไว้ที่เกาะเสม็ด
ในประเด็นที่ว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างควบคุมเรือ ว.ทองทะเล 4กระทำกิจการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 4 หรือไม่ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เป็นชาวต่างประเทศ มีความชำนาญในการกู้เรือและตัดเหล็กใต้น้ำ ได้เดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทยต่อเนื่องกันมานาน 9 ปี และได้ทำงานกับจำเลยที่ 4 ทำหน้าที่ควบคุมเรือ ว.ทองทะเล 4 ของจำเลยที่ 4 ขณะเกิดเหตุได้ไปทำงานดังกล่าวที่บริเวณปากอ่าวชุมพร หน้าที่ทำการห้องเย็นของโจทก์โดยจำเลยที่ 4 เป็นผู้เช่าบ้านให้จำเลยที่ 1 พักรวมกับคนงานอื่น ๆ จัดรถยนต์รับส่งระหว่างบ้านพักกับสะพานของโจทก์ที่เกิดเหตุเพื่อลงเรือ ว.ทองทะเล 4 ไปทำงานทุกวัน เปิดบัญชีกับธนาคารให้จำเลยที่ 1 เบิกเป็นค่าใช้จ่ายในการทำงาน มอบให้ภริยาจำเลยที่ 1เป็นผู้ควบคุมการเบิกจ่ายค่าแรงและจัดการเรื่องอาหารทั้ง 3 มื้อของคนงานทั้งหมดของจำเลยที่ 4 ในการติดต่อขอรับเรือทองทะเล 4คืนจากสถานีตำรวจภูธรปากน้ำชุมพร จำเลยที่ 1กับภริยาก็ไปติดต่อด้วยกัน หลังเกิดเหตุแล้ว จำเลยที่ 1 เคยใช้เรือของจำเลยที่ 4ที่ตนควบคุมอยู่ไปช่วยกู้เรือให้ชาวประมง จึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1เป็นลูกจ้างควบคุมเรือ ว.ทองทะเล 4 กระทำกิจการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 4
ในประเด็นที่ว่า เหตุที่เรือ ว.ทองทะเล 4 ชนสะพานของโจทก์เป็นเพราะเหตุสุดวิสัยหรือไม่ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า บริเวณที่จำเลยที่ 1 นำเรือ ว.ทองทะเล 4 ไปจอดทำงานไม่มีที่กำบังลมในฤดูมรสุมคลื่นลมจะแรงจัดทุกปี มีเรืออับปางเป็นประจำ ไม่มีเรือลำใดกล้าจอด ส่วนใหญ่ไปจอดหลบมรสุมที่ด้านหลังและท้ายเกาะเสม็ดหรือในแม่น้ำลำคลอง และวินิจฉัยว่าขณะเกิดเหตุเป็นฤดูมรสุม จำเลยที่ 1มีอาชีพกู้เรือมานานถึง 20 ปี ย่อมรู้ดีว่าการจอดเรือในลักษณะไม่มีที่กำบังลมดังกล่าวอาจถูกลมพายุพัดหลุดลอยได้ง่าย การจัดการป้องกันด้วยการนำเรือไปหลบหาที่กำบังพายุก็สามารถกระทำได้ทันเพราะมีประกาศเตือนทางวิทยุตั้งแต่หัวค่ำของคืนก่อนวันเกิดเหตุเมื่อจำเลยที่ 1 อาจป้องกันไม่ให้เรือถูกพายุได้แต่ไม่จัดการป้องกันการที่เรือ ว.ทองทะเล 4 ถูกพายุพัดหลุดลอยไปชนสะพานของโจทก์จึงเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 และที่ 4 จะอ้างว่าเหตุเกิดขึ้นเพราะเป็นเหตุสุดวิสัยหาได้ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ประเด็นสุดท้ายในเรื่องอายุความ ที่จำเลยที่ 1 และที่ 4ฎีกาว่า วันสุดท้ายแห่งอายุความคดีนี้ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม 2522เป็นวันหยุด โจทก์จะต้องฟ้องภายในวันที่ 22 ตุลาคม 2522 เพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 161 ใช้กับการนับระยะเวลาจะนำมาใช้กับการนับอายุความไม่ได้ เมื่อโจทก์ฟ้องวันที่ 24 ตุลาคม2522 ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความนั้น เห็นว่า อายุความเป็นระยะเวลาอย่างหนึ่งเหมือนกัน เมื่อวันสุดท้ายแห่งอายุความเป็นวันหยุดก็ต้องนับวันที่เริ่มทำงานใหม่เข้าด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 161 โจทก์จึงฟ้องในวันที่ 24 ตุลาคม 2522 ได้ ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน.