แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ลำเหมืองพิพาทผ่านที่นาของจำเลยไปสู่ที่นาของโจทก์ โจทก์ใช้น้ำจากลำเหมืองพิพาทในการทำนามาเป็นเวลา 10 ปีเศษแล้วจำเลยก็ยอมรับว่าโจทก์ได้ใช้น้ำในลำเหมืองที่ผ่านที่นาของจำเลย เพราะตามปกติน้ำฝนมีไม่พอในการทำนา แสดงว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าถ้าจำเลยกลบลำเหมืองในที่นาของจำเลยเสีย ผลเสียหายย่อมเกิดขึ้นแก่การทำนาของโจทก์อย่างแน่นอน ฉะนั้น การที่จำเลยกลบลำเหมืองพิพาทตอนที่ผ่านที่นาจำเลย เพื่อมิให้โจทก์ได้ใช้น้ำในลำเหมืองนั้นในการทำนาต่อไป จึงเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยเปิดลำเหมืองพิพาทเพื่อโจทก์จะได้ใช้น้ำจากลำเหมืองในการทำนาตามสภาพเดิมต่อไปได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่นาของโจทก์มีลำเหมืองกว้าง ๑ ศอก ลึก ๑ ศอก ยาวประมาณ ๓ เส้นเศษ ชักน้ำจากคลองโคกไปสู่ที่นาของโจทก์สำหรับหล่อเลี้ยงต้นข้าวทุกปี จำเลยได้เอาดินถมลำเหมืองของโจทก์ยาวตามลำเหมืองประมาณ ๖ วา ทำให้น้ำในเหมืองไม่ไหลสู่นาของโจทก์ข้าวในนาของโจทก์เสียหายไม่ได้ผล จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยเปิดลำเหมือง
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า นาโจทก์ไม่มีลำเหมือง และในที่นาของจำเลยก็ไม่มีลำเหมืองผ่านคลองโคกเป็นคลองที่ได้น้ำจากน้ำฝนตกมาขังอยู่ ซึ่งบางตอนจำเลยได้สร้างทำนบกั้นน้ำไว้ เมื่อน้ำเข้านาจำเลยแล้ว จำเลยได้ปิดกั้นคันนาเป็นล็อค ๆ เพื่อให้เลี้ยงต้นข้าวในนาของจำเลยแล้วก็ไหลไปสู่นาของโจทก์ซึ่งเป็นที่ต่ำกว่า โจทก์ไม่เคยได้รับความเสียหายโจทก์ได้ฟันคันนาของจำเลยทำเป็นลำเหมือง ทำให้น้ำไหลไปสู่นาโจทก์หมดไม่มีน้ำหล่อเลี้ยงต้นข้าวของจำเลย ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายจึงฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ถมลำเหมืองที่โจทก์ทำขึ้น ถ้าไม่ถมก็ให้โจทก์จ่ายเงิน ๓๐๐ บาทแก่จำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเปิดลำเหมือง หากไม่ทำก็ให้จำเลยออกค่าใช้จ่าย ๔๐๐ บาทแก่โจทก์ ยกฟ้องแย้งของจำเลย ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นข้าวเปลือก ๔๐๐ ถัง หรือเงิน ๑,๖๐๐ บาท และให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายความแทนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า มีลำเหมืองพิพาทจากคลองโคกผ่านที่นาของจำเลยไปสู่ที่นาของโจทก์ โจทก์ใช้น้ำจากลำเหมืองพิพาทในการทำนามาเป็นเวลา ๑๐ ปีเศษแล้วและจำเลยได้กลบลำเหมืองในนาของจำเลยจริง
ปัญหาที่ว่า การที่จำเลยกลบลำเหมืองพิพาทซึ่งอยู่ในนาของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยรับว่าโจทก์ได้ใช้น้ำในลำเหมืองที่ผ่านที่นาของจำเลย เพราะตามปกติน้ำฝนมีไม่พอทำนา แสดงว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าถ้าจำเลยกลบลำเหมืองในที่นาจำเลยผลเสียหายย่อมจะเกิดขึ้นแก่การทำนาของโจทก์ เพราะโจทก์จะไม่ได้น้ำจากลำเหมืองมาใช้ในการทำนา ต้องอาศัยน้ำฝนอย่างเดียวในการทำนาซึ่งจำเลยเองเบิกความว่ามีไม่พอในการทำนา แม้จำเลยจะอ้างว่า จำเลยมีสิทธิถมลำเหมืองพิพาทได้ เพราะอยู่ในที่นาของจำเลยก็ตาม แต่การที่จำเลยถมกลบลำเหมืองตอนที่ผ่านที่นาของจำเลยซึ่งมีมาช้านานแล้วเพื่อประสงค์จะมิให้โจทก์ได้ใช้น้ำในลำเหมืองนั้นทำนาได้อีกต่อไป ซึ่งโจทก์เคยใช้มาเป็นเวลากว่า ๑๐ ปีแล้ว การกระทำของจำเลยเช่นนี้ย่อมเห็นได้ว่าเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่น ซึ่งตามมาตรา ๔๒๑แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติว่า “การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้นท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย” การกระทำของจำเลยจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เปิดลำเหมืองพิพาทเพื่อโจทก์จะได้ใช้น้ำจากลำเหมืองในการทำนาตามสภาพเดิมต่อไป
ในเรื่องค่าเสียหาย จำเลยไม่ได้ฎีกาคัดค้าน จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย
ส่วนฎีกาของจำเลยที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์คุ้ยและถมดินที่จำเลยถมในลำเหมืองขึ้นมา จึงหาเป็นการละเมิดต่อจำเลยดังฟ้องแย้งไม่
พิพากษายืน