คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1173/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยโอนที่ดินและเรือนให้โจทก์กับให้ขับไล่จำเลยออกไปแล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยยอมออกจากทรัพย์พิพาทและยอมโอนให้โจทก์ ศาลได้พิพากษาตามยอมแล้วแม้จำเลยบางคนจะเป็นผู้เยาว์ แต่คำพิพากษาตามยอมนั้นก็มีผลผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 จำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์เป็นคู่ความในคดีอยู่แล้วโดยมี ก. เป็นผู้แทนเฉพาะคดี และไม่มีอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมจนคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีแก่จำเลยตามคำพิพากษาตามยอมได้ ศาลจะปฏิเสธการบังคับคดีแก่จำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์โดยอ้างว่า ก.ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์โดยมิได้รับอนุญาตจากศาลก่อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546(4) ดังนี้ หาชอบไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดที่ 1251 พร้อมด้วยตัวเรือนที่จำเลยอาศัยอยู่ได้จากการขายทอดตลาดของศาล โจทก์ชำระเงินต่อศาลแล้ว เดิมทรัพย์นี้บิดาจำเลยทั้งสี่เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ แต่บิดามารดาจำเลยทั้งสี่วายชนม์แล้ว โจทก์จึงขอให้จำเลยทั้งสี่ผู้เป็นทายาทรับมรดกทรัพย์รายนี้แล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ จำเลยปฏิเสธ จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยไปขอรับมรดกที่ดินโฉนดที่ 1251 พร้อมด้วยเรือน แล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ หากไม่ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย กับให้ขับไล่จำเลยและบริวารมิให้เกี่ยวข้องในที่ดินรายนี้

จำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การต่อสู้คดี จำเลยที่ 2 ไม่ยื่นคำให้การ

สิบตรีกมลในฐานะส่วนตัวและแทนเด็กชายสุรพลผู้เยาว์ ร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมโดยอ้างว่าเป็นบุตรผู้ตาย มีส่วนได้เสียในผลแห่งคดีนี้ร่วมกับจำเลยทั้งสี่ และขอเป็นผู้แทนเฉพาะคดีของจำเลยที่ 3 ที่ 4ซึ่งเป็นผู้เยาว์ และของเด็กชายสุรพลด้วย ศาลชั้นต้นอนุญาต

สิบตรีกมลในฐานะผู้ร้องสอดและในฐานะผู้แทนเฉพาะคดีให้การว่า ขอถือเอาคำให้การของจำเลยที่ 1 เป็นของตนด้วย

ต่อมาโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมชำระเงิน 6,200 บาทให้โจทก์ภายในวันที่ 30 เมษายน 2514 โจทก์ยอมโอนทรัพย์ตามฟ้องคืนให้จำเลยเมื่อโจทก์ได้รับเงินตามจำนวนและกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว ถ้าจำเลยผิดนัด จำเลยยอมออกจากทรัพย์พิพาทและยอมโอนที่พิพาทให้โจทก์ สิบตรีกมลและทนายจำเลยลงชื่อในสัญญายอมฝ่ายจำเลย ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม

หลังจากครบกำหนดเวลาตามสัญญายอมแล้ว จำเลยไม่ชำระเงินตามยอมและไม่ยอมออกจากที่พิพาท โจทก์จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งจับกุมและกักขังจำเลยและบริวาร

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การที่สิบตรีกมลพี่ชายของนายสวัสดิ์กับพวกผู้เยาว์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์นั้นเป็นการทำไปโดยมิได้รับอนุญาตจากศาลก่อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546(4) สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว จึงใช้บังคับต่อทรัพย์สินในส่วนที่เป็นของนายสวัสดิ์นางสาวแสงอรุณและเด็กชายสุรพลจำเลยผู้เยาว์หาได้ไม่ เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ผูกพันจำเลยผู้เยาว์ดังระบุชื่อมาแล้วโจทก์จึงไม่มีอำนาจบังคับให้จำเลยผู้เยาว์ทั้งสามปฏิบัติตามคำบังคับซึ่งออกตามความในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวได้ ให้ยกคำร้อง

โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้แทนเฉพาะคดีทำสัญญาประนีประนอมกับโจทก์เกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์แล้ว ไม่จำต้องขออนุญาตต่อศาลอีกพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ดำเนินการต่อไปตามที่โจทก์ร้องขอ

จำเลยที่ 3 ที่ 4 และจำเลยร่วมฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำพิพากษาตามยอมคดีนี้ย่อมมีผลผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 จำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์ทั้งสามเป็นคู่ความในคดีอยู่แล้ว โดยมีสิบตรีกมลเป็นผู้แทนเฉพาะคดี และไม่มีการอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอม จนคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีแก่จำเลยตามคำพิพากษาตามยอมได้ตามมาตรา 271 การที่ศาลอุทธรณ์สั่งยกคำสั่งศาลชั้นต้นซึ่งปฏิเสธการบังคับคดีแก่จำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นชอบด้วย

พิพากษายืน

Share