คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1289/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมที่พิพาทเป็นที่ชายตลิ่งน้ำท่วมถึงได้เปลี่ยนสภาพเป็นที่น้ำท่วมไม่ถึงมาได้ 4 – 5 ปี ที่พิพาทอยู่หน้าที่ดินโจทก์ด้านริมแม่น้ำ และมีทางเดินเล็ก ๆ เรียบริมแม่น้ำอันเป็นทางเดินในที่ดินโฉนดของโจทก์ หรืองอกจากที่ดินของโจทก์ ทางเดินนี้แม้ชาวบ้านจะอาศัยใช้เป็นทางสัญจรไปมาก็หาใช่ทางสาธารณะไม่ หากจะเป็นก็เพียงทางภารจำยอม ต้องถือว่าทางเดินดังกล่าวเป็นที่ดินของโจทก์ ที่พิพาทติดกับทางเดิน จึงเป็นที่งอกจากที่ดินมีโฉนดของโจทก์และเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์เจ้าของที่ดินตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1308 ถึงแม้ต่อมาโจทก์จะอุทิศที่ดินที่เป็นทางเดินให้เป็นถนนสาธารณะก็หาทำให้ที่พิพาทเป็นที่งอกซึ่งเป็นกรรมสิทธิของโจท์แล้วเปลี่ยนแปลงไม่ได้ และจะถือว่าเป็นที่งอกจากที่สาธารณะมิได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ ๑๙๒๙ ร่วมกับนายวิชัยคนละครึ่ง โดยแยกกันครอบครองเป็นส่วนสัด ส่วนของโจทก์อยู่ทางทิศเหนือ ที่ดินด้านทิศตะวันตกติดลำน้ำแม่กลอง ลำน้ำได้ตื้นเขินจนเกิดเป็นที่งอกริมตลิ่งมีเนื้องที่ ๑ งานเศษ โจทก์ได้ครอบครองที่งอกตลอดมาจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์ปลูกบ้านลงบนที่ดินส่วนที่เป็นที่งอกแล้วให้จำเลยซึ่งเป็นบุตรสาวอาศัยอยู่ตลอดมา ประมาณ ๕ – ๖ ปี มานี้จเลยทะเลาะวิวาทกับน้อง ๆ และก้าวร้าวด่าว่าโจทก์ โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่ บอกให้จำเลยย้ายไป จำเลยไม่ยอมย้าย เมื่อสองเดือนมานี้จำเลยรื้อบ้านย้ายไป แต่ให้คนมาขุดหลุมขนดินลูกรังและหินมาไว้บนที่ดินที่โจทก์เคยให้จำเลยอยู่เพื่อปลูกสร้างขึ้นใหม่ โจทก์ห้ามปรามจำเลยไม่เชื่อฟัง ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินส่วนที่ติดกับโฉนดที่ ๑๙๒๙ ทางทิศตะวันตกเป็นที่งอกริมตลิ่งเนื้อที่ประมาณ ๑ งานเศษ เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ให้จำเลยขนกองวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างออกไป ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า ที่ดินโฉนดที่ ๑๙๒๙ ทางทิศตะวันตกเดิมติดแม่น้ำแม่กลองจริง แต่เมื่อ ๓๐ ปีเศษ ก่อนที่ดินจะเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์และนายวิชัยทางราชการกับชาวบ้านได้ร่วมอุทิศที่ดินทำถนนสาธารณะริมแม่น้ำขึ้น ที่ดินของโจทก์จึงติดกับถนนสาธารณะหาใช่ติดกับแม่น้ำแม่กลองไม่ ที่พิพาทเนื้อที่ประมาณ ๑ งาน เป็นที่งอกขึ้นภาย หลังจากได้ทำถนนสาธารณะแล้วและงอกจากน้ำมาติดตลิ่ง ไม่ใช่งอกจากที่ดินของโจทก์และนายวิชัย โจทก์ไม่เคยครอบครองที่พิพาทเลย เมื่อประมาณ ๒๐ ปี มานี้ ที่พิพาท เป็นที่ว่างเปล่าไม่มีเจ้าของ จำเลยได้เข้าไปปลูกบ้านอยู่อาศัย ครอบครองที่พิพาทโดยสงบเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมา ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินส่วนที่ติดกับโฉนดที่ ๑๙๒๙ ตำบลโคกหมด อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ด้านตะวันตกเป็นที่งอกริมตลิ่ง เนื้อที่ประมาณ ๑ งาน ตามรูปแผนที่พิพาทเส้นสีแดง เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ให้จำเลยขนกองวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นที่งอกริมตลิ่งต่อจากถนนสาธารณะไม่ใช่ที่งอกจากที่ดินของโจทก์ จำเลยเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่า โจทก์ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินอยู่หน้าที่ดินของโจทก์ และเป็นที่งอกซึ่งเดิมเป็นที่ชายตลิ่ง น้ำท่วมถึงแล้วที่ดินค่อย ๆ งอกไปตามทางแม่น้ำจนเป็นที่พิพาทน้ำท่วมไม่ถึง ต้องฟังในเบื้องต้นว่า ที่พิพาทเป็นที่งอกริมตลิ่งซึ่งงอกออกจากที่ดินของโจทก์ ทางเดินเลียบริมแม่น้ำซึ่งมีมาแต่เดิมนั้น เป็นทางเดินในโฉนดของโจทก์หรือไม่ก็เป็นที่งอกจากที่ดินของโจทก์ แม้ชาวบ้านจะอาศัยใช้เป็นทางสัญจรไปมา ก็หาใช่เป็นทางสาธารณะไม่ หากจะเป็นก็เป็นเพียงทางภารจำยอมเท่านั้น ต้องถือทางเดิมดังกล่าวเป็นที่ดินของโจทก์ ข้อเท็จจริงได้ความว่า พิพาทซึ่งเดิมเป็นที่ชายตลิ่งน้ำท่วมถึง ได้เปลี่ยนสภาพเป็นที่งอกน้ำท่วมไม่ถึงมาได้ ๔ – ๕ ปีแล้ว ฉะนั้นที่พิพาทที่ติดกับทางเดินจึงเป็นที่งอกจากที่ดินมีโฉนดของโจทก์ และเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์เจ้าของ ที่ดินตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๘ แม้จะฟังว่าเมื่อ ๔ ปีมานี้ โจทก์ได้อุทิศที่ดินที่เป็นทางเดินให้สุขาภิบาลถมดินลูกรังขยายทำเป็นถนนสาธารณะก็ตาม ก็หาทำให้ที่งอกซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แล้วเปลี่ยนแปลงไม่ และจะถือว่าเป็นที่งอกจากถนนสาธารณะมิได้
วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นคนปลูกบ้านในที่พิพาทให้จำเลยอยู่อาศัย
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share