คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1780/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อพฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่า สำหรับเหตุการณ์ตอนหลังจำเลยถือเหล็กขูดชาร์ฟสามเหลี่ยมปลายแหลมวิ่งไล่แทงนายถึงถูกบริเวณก้นกบ 1 ที. ครั้นนายอุทัยไปถึงจำเลย จำเลยก็หันมาแทงนายอุทัย 1 ที ถูกที่โคนขาซ้าย แล้วจำเลยก็วิ่งหนีไป. ส่วนนายอุทัยวิ่งไปได้3-4ก้าวก็ล้มและไปตายที่โรงพยาบาลปราจีนบุรีเพราะโลหิตออกมาก. ต้องถือว่าการกระทำของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับนายถึงเป็นการทำร้ายร่างกายถึงบาดเจ็บ. และในส่วนที่เกี่ยวกับนายอุทัยแม้เหล็กขูดชาร์ฟจะใช้เป็นอาวุธร้ายได้. จำเลยก็ได้แทงนายอุทัยผู้ตายส่งๆ ไปทีเดียวโดยไม่มีโอกาสได้เลือกแทงตรงไหน. เผอิญไปถูกเส้นโลหิตใหญ่ที่ไปเลี้ยงส่วนขาโลหิตออกมากจึงถึงตาย. เช่นนี้ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาจะทำร้ายนายอุทัยให้ถึงตาย. จำเลยคงมีผิดเพียงฐานฆ่าคนโดยไม่เจตนาเท่านั้น.
อนึ่ง รูปคดีหาใช่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจใช้เหล็กขูดชาร์ฟแทงทำร้ายนายถึงประทังคำ 1 ปี ถูกที่ด้านหลังต่ำจากเอวเล็กน้อย ทำให้เป็นอันตรายแก่กาย และแทงทำร้ายนายอุทัย ประทังคำ ถูกที่บริเวณโคนขาซ้าย 1 ทีโดยมีเจตนาฆ่า ทำให้นายอุทัยบาดเจ็บถึงตายในวันเกิดเหตุนั้นเองขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 288 และริบเหล็กขูดชาร์ฟของกลาง จำเลยให้การว่า กระทำไปเพื่อป้องกันตัว ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำผิดเพราะถูกฝ่ายพวกผู้ตายทำร้าย และกระทำลงในเวลาใกล้ชิด เพราะเหตุบันดาลโทสะ จึงพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 288 ให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 288 ซึ่งเป็นกระทงหนักตามมาตรา 91 ประกอบด้วยมาตรา 72จำคุก 8 ปี ของกลางริบ จำเลยอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุหรือหากจะฟังว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุหรือบันดาลโทสะ ก็ขอให้ปล่อยจำเลยไป หรือลงโทษน้อยกว่า 8 ปีตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดโทษ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุไม่ใช่เรื่องกระทำผิดเพราะบันดาลโทสะ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์เหล็กขูดชาร์ฟของกลาง ให้คืนเจ้าของเพราะฟังไม่ชัดว่าเป็นของจำเลย โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยมิใช่เป็นการป้องกัน หากแต่เป็นการกระทำที่มีเจตนาทำร้ายร่างกายนายถึง ประทังคำ และฆ่านายอุทัยทั้งให้ริบเหล็กขูดชาร์ฟของกลางซึ่งจำเลยใช้กระทำความผิด ศาลฎีกาพิเคราะห์เห็นว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดี การกระทำของจำเลยหาใช่กระทำเพื่อป้องกันไม่ กล่าวคือ สำหรับเหตุการณ์ตอนหลังจำเลยถือเหล็กขูดชาร์ฟสามเหลี่ยมปลายแหลมวิ่งไล่แทงสามีนางหอม ซึ่งได้แก่นายถึงผู้เสียหาย จำเลยไล่ไปทันนายถึงเอาเหล็กแหลมแทงถูกบริเวณก้นกบ 1 ที พอนายอุทัยไปถึงจำเลย จำเลยก็หันมาแทงนายอุทัย 1 ทีถูกที่โคนขาซ้าย แล้วจำเลยก็วิ่งหนีไปทางเหนือ ส่วนนายอุทัยวิ่งไปทางใต้ 3-4 ก้าวก็ล้ม นายถึงจึงเข้าไปดูนายอุทัย นางหอมเข้าไปดูด้วย และช่วยส่งโรงพยาบาลปราจีนบุรี ในที่สุดนายอุทัยตายที่โรงพยาบาลนั้นเอง การกระทำของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับนายถึงเป็นการทำร้ายร่างกายถึงบาดเจ็บ และในส่วนที่เกี่ยวกับนายอุทัย แม้เหล็กขูดชาร์ฟจะใช้เป็นอาวุธร้ายได้ จำเลยก็แทงนายอุทัยผู้ตายเพียงทีเดียว บังเอิญไปถูกเส้นโลหิตใหญ่ที่ไปเลี้ยงส่วนขา โลหิตออกมากจึงถึงตาย ประกอบกับจำเลยไม่มีโอกาสที่จะเลือกแทงที่ตรงไหนได้ จำเลยแทงผู้ตายส่ง ๆไปโดยไม่เจตนาให้ถึงตาย จำเลยคงมีความผิดเพียงฐานฆ่านายอุทัยโดยไม่เจตนาเท่านั้น พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 และมาตรา 290 แต่ให้ลงโทษกระทงหนักตามมาตรา 290 ส่วนกำหนดโทษนั้นให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเหล็กขูดชาร์ฟของกลางริบ.

Share