คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2705/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์สินที่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และราษฎร ได้บริจาคเงินสมทบกับเงินบำรุงอำเภอ ซื้อไว้ใช้ในราชการของอำเภอ โดยเป็นที่พักหรือที่ทำงานปลัดอำเภอประจำตำบลในขณะนั้น ที่ดินและบ้านพิพาทจึงเป็นที่สาธารณะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (3) และเป็นที่ราชพัสดุตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ มาตรา 4 ซึ่งตามมาตรา 5 ประกอบด้ยมาตรา 11 ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือกรรสิทธิ์ที่ราชพัสดุ กรณีไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติบักษณะปกครองท้องที่ มาตรา 132 นายอำเภอจึงไม่มีอำนาจฟ้องขัยไล่ผู้อยู่ในที่ดินและบ้านพิพาท เมื่อกระทรวงการคลังโดยโจทก์ร่วมมิได้ฎีกา ก็ต้องยกฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนายอำเภอพล เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๗ รัฐบาลได้ซื้อที่ดินพร้อมบ้านหนึ่งหลังใช้เป็นที่ทำการและบ้านพักปลัดอำเภอประจำตำบลเมืองพล โดยให้นายประเสริฐ ชำนาญไพร และจำเลยซึ่งเป็นภรรยาพร้อมครอบครัวเข้าอยู่อาศัย ต่อมานายประเสริฐถึงแก่กรรม จำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินและบ้านดังกล่าว ขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินและบ้านดังกล่าวที่เป็นราชพัสดุของหลวงหรือของรัฐบาล เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไป
จำเลยให้การสู้คดีว่า ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของนายประเสริฐซื้อมาด้วยเงินส่วนตัว ไม่ได้ใช้เงินของราษฎรหรือเงินบำรุงอำเภอ นายประเสริฐถึงแก่กรรมแล้ว จำเลยก็ได้แจ้ง ส.ด.๑ และครอบครองอยู่ตลอดมา
กระทรวงการคลัง ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม โจทก์และจำเลยไม่คัดค้านศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมทั้งให้รื้อถอนโรงเรียนและสิ่งปลูกสร้างออกไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์สินที่กำนัน ผู้ใหญ่บ้านและราษฎรตำบลพล อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น ได้บริจาคเงินรวมกันเป็นจำนวน ๘๒๘.๒๐ บาท สมทบกันเงินบำรุงอำเภออีก ๒๒๑.๘๐ บาท ซื้อไว้จากนายแก้ว โดยให้นายประเสริฐหรือประเสริฐเป็นผู้ลงชื่อแทนอำเภอพล เพื่อไว้ใช้ในราชการของอำเภอพล โดยใช้เป็นที่พักหรือที่ทำงานปลัดอำเภอประจำตำบลเมืองพลในขณะนั้น ที่ดินและบ้านพิพาทจึงเป็นที่สาธารณะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔ (๓) และเป็นที่ราชพัสดุตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๔ ซึ่งตามมาตรา ๕ ประกอบด้วยมาตรา ๑๑ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุ ที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยเป็นคนตกลงซื้อที่ดินและบ้านพิพาทจากนายแก้วเป็นเงิน ๑,๐๕๐ บาท โดยไปขายนาที่อำเภอชนบทมาซื้อแล้วให้นายประเสริฐสามีลงชื่อเป็นผู้ซื้อนั้น เป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีน้ำหนักไม่น่าเชื่อ แม้จำเลยจะได้เอาที่ดินพิพาทไปแจ้งการครอบครองไว้ก็หาก่อให้เกิดสิทธิขึ้นใหม่แก่จำเลยไม่ จำเลยจะครอบครองมานานเท่าใดก็ไม่มีสิทธิในที่พิพาท กรณีจึงไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พุทธศักราช ๒๔๕๗ มาตรา ๑๓๒ แต่กระทรวงการคลัง โจทก์ร่วมมิได้ฎีกาต่อมา ศาลฎีกาเห็นด้วยในผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้องโจทก์
พิพากษายืน แต่ไม่ตัดสิทธิกระทรวงการคลังโจทก์ร่วมที่จะฟ้องคดีนี้ใหม่

Share