คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1014/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 295 โดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ว่าไม่ได้ร่วมกระทำผิด คงมีโจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามฟ้อง ข้อเท็จจริงที่ว่า จำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัสตาม ป.อ. มาตรา 297 จำเลยจะฎีกาว่าไม่ได้เป็นตัวการร่วมกระทำผิดหาได้ไม่ เพราะมิใช่เป็นข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ประกอบป.วิ.อ. มาตรา 15 ในการร่วมกระทำผิดแม้จำเลยมีเจตนาเพียงชกผู้เสียหายครั้งเดียวมิได้มีเจตนาให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส แต่เมื่อพวกของจำเลยคนหนึ่งได้ใช้มีดฟันข้อมือผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ไม่ว่าจำเลยจะทราบว่าพวกของตนมีมีดหรือไม่ก็ตาม จำเลยก็ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการกระทำนั้นด้วย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 ให้ลงโทษจำคุก 3 เดือน และปรับ 2,000 บาท จำเลยไม่เคยกระทำความผิดคดีใด ๆ มาก่อน ทั้งเหตุที่เกิดขึ้นก็เนื่องจากผู้เสียหายกับพวกมีส่วนร่วมก่อให้เกิดขึ้นด้วยเพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตนเป็นพลเมืองดีต่อไป โทษจำคุกจำเลยจึงเห็นสมควรให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย พวกของจำเลยได้ใช้มีดฟันข้อมือผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยกับพวกได้วางแผนตระเตรียมอาวุธมาทำร้ายหรือทราบว่าพวกของตนได้เตรียมมีดมาฟันผู้เสียหาย จำเลยเพียงชกต่อยผู้เสียหาย1 ครั้งเท่านั้น จึงลงโทษจำเลยฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสไม่ได้ คงลงโทษฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำเลยไม่ได้อุทธรณ์คัดค้านว่า ไม่ได้ร่วมกระทำผิด คงมีโจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามฟ้องข้อเท็จจริงที่ว่า จำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฉะนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 จำเลยจะฎีกาว่า ไม่ได้เป็นตัวการร่วมกระทำผิดขอให้ยกฟ้อง หาได้ไม่ เพราะมิใช่เป็นข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยจะมีความผิดฐานร่วมทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัสหรือไม่ เห็นว่า ในการร่วมกระทำผิดแม้จำเลยมีเจตนาเพียงชกผู้เสียหายครั้งเดียวที่โหนกแก้ม มิได้มีเจตนาให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส แต่เมื่อพวกของจำเลยคนหนึ่งได้ใช้มีดฟันข้อมือผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ไม่ว่าจำเลยจะทราบว่าพวกของตนมีมีดหรือไม่ก็ตามจำเลยก็ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการกระทำนั้นด้วย จะถือเป็นเรื่องต่างคนต่างทำไม่ได้ ถือได้ว่าเป็นผลจากการกระทำของผู้ร่วมกระทำผิดทุกคนด้วยที่ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษด้วยนั้น เห็นว่าจำเลยกับพวกอีก 10 คนร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายโดยมีอาวุธมีดผู้เสียหายถูกฟันที่ข้อมือได้รับอันตรายสาหัส ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2ลงโทษจำคุกจำเลยก็เป็นโทษขั้นต่ำสุด จึงนับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข…”
พิพากษายืน.

Share