คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1288/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องกล่าวว่า จำเลยบังอาจขับรถแซงรถเมล์โดยฝ่าฝืนป้ายห้ามแซงของเจ้าพนักงานที่ติดตั้งไ้ เป็นเหตุให้ชนรถเมล์เสียหาและหมุดคอสะพานเสียหาย ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยขับรถสวนกับรถเมล์เหลืองแล้วเกิดชนกันเสียหาย ดังนี้ เมื่อตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก ฯ ไม่มีบทวิเคราะห์ศัพท์คำว่า “แซง” ไว้ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2493 คำว่า “แซง” หมายความถึงกิริยาที่แทรกหรือเสียด ซึ่งหมายความว่า เบียดเข้าไป หรือเฉียดไป เมื่อไม่มีบทกฎหมายบัญญัติความหมายไว้เป็นพิเศษโดยเฉพาะ ก็ต้องตีความตามความหมายธรรมดา คือ หมายถึงกิริยาแทรกหรือเสียด คือ เบียดเข้าไปหรือ เฉียดไป ตามฟ้องของโจทก์จึงมีความหมายไปในทางที่ว่า ขับรถเสียดหรือแทรกรถเมล์ได้ ซึ่งอาจจะเป็นไปในทางที่แล่นขึ้นหน้าหรือสวนกัน จะตีความหมายว่า แซง หมายถึงขับรถขึ้นหน้าแต่อย่างเดียวดังที่จำเลยโต้เถียงขึ้นมาหาได้ไม่ และตามฟ้องที่บรรยายมาก็แสดงให้เห็นอยู่ว่า รถทั้งสองคันมุ่งหน้าไปคนละทางจะสวนกันข้อเท็จจริงในการพิจารณายังเรียกไม่ได้ว่าแตกต่างกับฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องกล่าวว่า จำเลยขับรถยนต์บรรทุกโดยปราศจากความระมัดระวัง เมื่อถึงสะพาทข้ามทางรถไฟ ซึ่งกำลังปิดซ่อมถนนด้านหนึ่งอยู่ และมีเครื่องหมายป้ายห้ามแซงกั้นถนนตอนนั้น ในขณะนั้นมีรถเมล์เหลืองขับมุ่งหน้าจะไปทางปากช่อง และขับเลยคอสะพานไปแล้ว จำเลยได้บังอาจขับรถแซงรถเมล์เหลืองโดยฝ่าฝืนป้ายห้ามแซงของเจ้าพนักงานที่ติดตั้งไว้ เป็นเหตุให้ชนรถเมล์เหลืองเสียหาย และทำให้หมุดคอสะพานเสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.๒๔๙๗ มาตรา ๒๙,๓๐,๓๑,๖๖,๖๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.๒๔๘๑ มาตรา ๔
จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้ว่าผู้ขับรถเมล์เหลืองขับรถผิดกฎจราจรกินทงรถที่จำเลยขับ จำเลยขับหลบไม่พ้นจึงชนหมุดคอสะพานเป็นเหตุสุดวิสัย จำเลยไม่ควรมีความผิด
ศาลแขวงนครราชสีมาวินิจฉัยว่า รถของจำเลยและรถเมล์เหลืองแล่นสวนชนกันบริเวณสะพาน เป็นเพราะความประมาทของจำเลย จำเลยสืบฝ่ายเดียวว่าเหตุเกิดวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๐๗ ส่วนโจทก์คงสืบว่าเหตุเกิดเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๐๗ ตามฟ้อง มิได้แตกต่างกัน พิพากษาว่าผิดตามฟ้อง ปรับ ๑๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยวันเกิดเหตุว่า ศาลชั้นต้นไม่ฟังข้อเท็จจริงว่าข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ส่วนเรื่องขับรถสวน ขับรถแซงวินิจฉัยว่า คำว่า “แซง” หมายถึงกิริยาที่แทรกหรือเสียด พิเคราะห์ตามคำบรรยายฟ้องที่ใช้คำว่า “แซง” ก็อาจมีความหมายไปในทางที่ว่า ขับรถเสียดหรือแซกรถเมล์เหลืองได้ อาจจะเป็นไปในทางที่จะแล่นขึ้นหน้าหรือสวนกัน มิได้หมายความจำกัดว่า แซงขึ้นหน้าเท่านั้น ฉะนั้นจะว่า ฟ้องของโจทก์กล่าวข้อเท็จจริงแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาไม่ได้ ทั้งข้อที่ว่าแตกต่างนี้มิใช่ข้อสาระสำคัญ และจำเลยก็มิได้หลงต่อสู้ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายเรื่องขับรถแซงขับรถสวน
ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องกล่าวว่า จำเลยบังอาจขับรถแซงรถเมล์เหลืองโดยฝ่าฝืนป้ายห้ามแซงเป็นเหตุให้ชนรถเมล์เหลืองเสียหาย และหมุดคอสะพานเสียหาย แต่การพิจารณาได้ความว่าจำเลยขับรถสวนกับรถเมล์เหลืองและรถชนกันเสียหาย ดังนี้ จะเรียกว่าข้อเท็จจริงในการพิจารณาต่างกับฟ้องหรือไม่ พิเคราะห์ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก ฯ ไม่มีบทวิเคราะห์ศัพท์คำว่า “แซง” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๔๙๓ คำว่า “แซง” หมายความถึงกิริยาที่แทรกหรือเสียด ซึ่งหมายความว่า เบียดเข้าไปหรือเฉียดไป ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อไม่มีบทกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษโดยเฉพาะแล้ว ก็ต้องตีความตามความหมายธรรมดา คือ หมายถึงกิริยาแทรกหรือเสียด คือ เบียดเข้าไปหรือเฉียดไป ตามฟ้องของโจทก์จึงมีความหมายไปในทางที่ว่า ขับรถเสียดหรือแทรกรถเมล์เหลืองได้ ซึ่งอาจจะเป็นไปในทางที่แล่นขึ้นหน้าหรือสวนกัน จะตีความหมายว่า แซง หมายถึงขับรถขึ้นหน้าแต่อย่างเดียวดังที่จำเลยโต้เถียงขึ้นมาหาได้ไม่ และตามฟ้องก็แสดงให้เห็นอยู่ว่า รถทั้งสองคันมุ่งหน้าไปคนละทางจะสวนกัน ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงในการพิจารณายังเรียกไม่ได้ว่าแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง พิพากษายืน

Share