แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีที่ผู้เยาว์เป็นโจทก์ฟ้องคดีเอง ฟ้องหาว่าจำเลยบังอาจฉุดคร่าห์อนาจาร ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 276 นั้น แม้จำเลยจะให้การตัดฟ้องไว้ว่าโจทก์มีอายุไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์แม้บิดาจะให้ความยินยอมแล้วก็ยังใช้ไม่ได้ บิดาจะต้องเป็นผู้ฟ้องแทนโจทก์จึงจะสมบูรณ์ก็ดีแต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยไม่เชื่อข้อเท็จจริง จำเลยจึงไม่ได้อุทธรณ์ คงมีแต่โจทก์อุทธรณ์ฝ่ายเดียว และเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ลงโทษจำเลย จำเลยก็ฎีกาเพียงข้อเท็จจริงไม่ได้ยกข้อตัดฟ้องขึ้นฎีกาด้วย ดังนี้ศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัยข้อตัดฟ้องนั้นก็ได้คงวินิจฉัยเฉพาะข้อเท็จจริงที่ฎีกาขึ้นมาเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบังอาจฉุดคร่าห์พาเอาโจทก์ไปเพื่อการอนาจาร ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๗๖
จำเลยปฏิเสธ และตัดฟ้องว่าโจทก์มีอายุไม่ครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ถึงแม้บิดาจะให้ความยินยอมแล้วก็ยังใช้ไม่ได้ บิดาจะต้องเป็นผู้ฟ้องแทนโจทก์จึงจะสมบูรณ์
ศาลชั้นต้นฟังว่าพยานโจทก์เบิกความแตกต่างกัน พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำคุกจำเลย ๘ เดือน ตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๒๗๖
จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงต่อมา
ศาลฎีกาเชื่อข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำผิดจริง จึงพิพากษายืน