แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ก่อนวันที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษา จำเลยยื่นคำแถลงการณ์เป็นหนังสือตาม ป.วิ.อ. มาตรา 205 วรรคสอง แต่ตามวรรคสามของบทบัญญัติดังกล่าวกำหนดว่า คำแถลงการณ์เป็นหนังสือมิให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของอุทธรณ์ ให้นับว่าเป็นแต่คำอธิบายข้ออุทธรณ์เท่านั้น การที่จำเลยยื่นคำแถลงการณ์เป็นหนังสือว่า จำเลยได้วางเงินชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายทั้งสองเพื่อประกอบการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในการรอการลงโทษให้แก่จำเลย จึงเป็นแต่เพียงคำอธิบายข้ออุทธรณ์ของจำเลยเพิ่มเติมเท่านั้น เมื่อศาลชั้นต้นส่งคำแถลงการณ์เป็นหนังสือนั้นไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 3 และศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งว่า คดีนี้จำเลยยื่นคำแถลงการณ์เพิ่มเติมหลังจากที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ทำคำพิพากษาเสร็จและส่งไปให้ศาลชั้นต้นเพื่ออ่านให้คู่ความฟังแล้ว จึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาไปในทางที่เป็นคุณหรือเป็นโทษแก่จำเลยได้นั้น ถือว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้พิจารณาคำแถลงการณ์เป็นหนังสือของจำเลยแล้ว แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะไม่ได้แก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 โดยยังคงระบุว่า จำเลยไม่เคยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายทั้งสอง ก็มิใช่กรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา อันเป็นเหตุให้ศาลฎีกาต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาและพิพากษาใหม่ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208 (2) ประกอบมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 295, 358
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาทำให้เสียทรัพย์ ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 358 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับอันตรายแก่กาย จำคุก 4 เดือน ฐานทำให้เสียทรัพย์ จำคุก 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพฐานทำให้เสียทรัพย์เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ดำเนินกระบวนพิจารณาชอบหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า จำเลยยื่นคำแถลงการณ์เป็นหนังสือว่า จำเลยได้วางเงินชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายทั้งสองเพื่อประกอบการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในการรอการลงโทษให้แก่จำเลย แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาว่า คดีนี้จำเลยยื่นคำแถลงการณ์เพิ่มเติมหลังจากที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ทำคำพิพากษาเสร็จและส่งไปให้ศาลชั้นต้นเพื่ออ่านให้คู่ความฟังแล้ว จึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาไปในทางที่เป็นคุณหรือเป็นโทษแก่จำเลยได้ เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า แม้ก่อนวันที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษา จำเลยยื่นคำแถลงการณ์เป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 205 วรรคสอง แต่วรรคสามของบทบัญญัติดังกล่าวได้กำหนดว่า คำแถลงการณ์เป็นหนังสือมิให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของอุทธรณ์ ให้นับว่าเป็นแต่คำอธิบายข้ออุทธรณ์เท่านั้น การที่จำเลยยื่นคำแถลงการณ์เป็นหนังสือว่า จำเลยได้วางเงินชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายทั้งสองเพื่อประกอบการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในการรอการลงโทษให้แก่จำเลย จึงเป็นแต่เพียงคำอธิบายข้ออุทธรณ์ของจำเลยเพิ่มเติมเท่านั้น เมื่อศาลชั้นต้นส่งคำแถลงการณ์เป็นหนังสือนั้นไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 3 และศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งว่า คดีนี้จำเลยยื่นคำแถลงการณ์เพิ่มเติมหลังจากที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ทำคำพิพากษาเสร็จและส่งไปให้ศาลชั้นต้นเพื่ออ่านให้คู่ความฟังแล้ว จึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาไปในทางที่เป็นคุณหรือเป็นโทษแก่จำเลยได้ ถือว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้พิจารณาคำแถลงการณ์เป็นหนังสือของจำเลยแล้ว แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะไม่ได้แก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 โดยยังคงระบุว่า จำเลยไม่เคยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายทั้งสอง ก็มิใช่กรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา อันเป็นเหตุให้ศาลฎีกาต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208 (2) ประกอบมาตรา 225 ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน